“รถไฟเหาะตีลังกา”, กระดิ่งแฟรงคลิน, ลมคีบลูกโป่ง

ผมไปทำกิจกรรมวิทย์กับเด็กๆมาครับ เด็กประถมหัดคิดแบบวิทย์โดยพยายามอธิบายมายากล เด็กประถมต้นได้เล่น “รถไฟเหาะ” โดยปล่อยลูกแก้วใส่สายรดน้ำต้นไม้ที่ขดเป็นวง เด็กประถมต้นได้ดูกระดิ่งแฟรงคลิน (Franklin’s bell) ที่ทำจากกระป๋องโลหะและไม้ชอร์ตยุง เด็กอนุบาลสามได้เล่นลูกโป่งที่ถูกสายลมคีบเอาไว้ครับ 

(อัลบั้มบรรยากาศกิจกรรมอยู่ที่นี่นะครับ กิจกรรมประถมคราวที่แล้วเรื่อง “เล่นฝูงลูกโป่ง (Coandă effect)” ครับ ลิงก์รวมทุกกิจกรรมอยู่ที่นี่นะครับ)

ก่อนอื่นเด็กประถมได้ดูมายากลนี้ครับ ดูเฉพาะตอนแรกที่เป็นกล ยังไม่ดูส่วนเฉลยตอนหลัง แล้วดูเฉลยหลังจากได้พยายามคิดพยายามอธิบายว่ากลแต่ละกลทำอย่างไรกันก่อนครับ กลวันนี้คือเสกผู้หญิงสองคนให้ออกมาจากกล่องใส:

กิจกรรมนี้ฝีกเด็กๆให้คิดแบบวิทยาศาสตร์ครับ มีการสังเกต การตั้งสมมุติฐานเพื่ออธิบายสิ่งที่สังเกตมา การตรวจสอบสมมุติฐานกับข้อมูลที่สังเกตมา การตั้งสมมุติฐานใหม่เมื่อสมมุติฐานเดิมขัดกับข้อมูล นอกจากนี้เราพยายามให้เด็กๆมีความกล้าคิดและออกความเห็นครับ

สำหรับเด็กประถมต้น ผมให้เล่นของเล่นรถไฟเหาะจำลองครับ เอาสายพลาสติกใสมาสมมุติว่าเป็นราง เอาลูกแก้วมาสมมุติว่าเป็นรถไฟ แล้วปล่อยลูกแก้วในสายพลาสติกจากที่สูงๆ เด็กๆสังเกตว่าลูกแก้วจะมีความเร็วเพิ่มขึ้นเมื่อตกลงสู่ที่ต่ำ (สำหรับเด็กโตๆหน่อยจะอธิบายว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงพลังงานศักย์เป็นพลังงานจลน์ สำหรับเด็กประถมต้นจะไม่อธิบายอะไรลึกครับ แค่ให้สังเกตว่าของตกลงมาจะมีความเร็ว ผมเคยบันทึกคำอธิบายที่ละเอียดขึ้นอยู่ที่ “จำลอง “รถไฟเหาะ” การเปลี่ยนรูปพลังงานระหว่างศักย์และจลน์” ครับ)

คลิปสโลโมชั่นที่เคยถ่ายไว้ครับ:

เด็กๆเล่นกันสนุกสนานครับ:

สำหรับเด็กๆประถมปลาย ผมให้ดูของเล่นที่เรียกว่าระฆังของแฟรงคลินหรือ Franklin’s bell กันครับ คลิปวิธีทำเป็นดังนี้:

ผมเคยเขียนรายละเอียดการทำงานของไม้ชอร์ตยุง ทำไมมันถึงเหมือนฟ้าผ่าจิ๋ว และการทำงานของ Franklin’s bell ไว้ที่หน้า “ดูวิดีโอแขนขาไฟฟ้าเทียม ไม้แปะยุง=ฟ้าผ่าจิ๋ว กลจากไฟฟ้าสถิต” นะครับ ถ้าสนใจเชิญดูได้ครับ

สำหรับเด็กอนุบาลสามทับสาม บ้านพลอยภูมิ ผมให้เด็กๆปล่อยลูกโป่งเหนือพัดลมที่พัดขึ้นครับ ลมจะคีบลูกโป่งไว้ด้วยปรากฎการณ์ควานด้า (Coandă effect) คือเวลาลมหรือน้ำไหลไปตามผิวโค้งนูน มันจะวิ่งไปตามผิวโค้ง ไม่ชนแล้วกระเด้งออกมาครับ ถ้าวัตถุมีลักษณะโค้งนูนคล้ายผิวลูกโป่ง สายน้ำหรือสายลมก็จะวิ่งโค้งไปตามผิวและวัตถุก็จะถูกดูดเข้าสู่สายน้ำหรือสายลมด้วย เวลาเราเอาลูกโป่งไปวางเหนือพัดลมที่เป่าขึ้น สายลมจึง “คีบ” ลูกโป่งไว้ได้ครับ

ในอดีตผมเคยอัดคลิปการเล่นประมาณนี้ไว้ที่ช่องเด็กจิ๋ว & ดร.โก้ด้วยครับ เด็กๆอาจจะชอบดู:

วิทย์ม. ต้น: Association Bias, บิ๊กแบง, Franklin’s Bell

วันนี้เด็กๆมัธยมต้นเรียนเรื่อง association bias จากหนังสือ The Art of Thinking Clearly โดยคุณ Rolf Dobelli  ที่เราต้องระวังว่าเราอาจรีบตัดสินใจผิดจากการเชื่อมโยงที่ไม่สมเหตุสมผลด้วยประสบการณ์เราในอดีต และเมื่อเราเป็นผู้บริหารเราควรรีบรับฟังปัญหาและข่าวร้ายต่างๆจะได้หาทางแก้ไข (ไม่โทษผู้นำข่าวร้ายมาบอกเรา, don’t shoot the messenger)

เราคุยกันเรื่องทำไมการดูชะตาชีวิตด้วยวันเดือนปีเกิดจึงไม่น่าจะทำได้

เราได้พูดคุยกันเรื่องบิ๊กแบง (Big Bang) อันเป็น threshold แรกใน Big History Project

บิ๊กแบงคืออะไร:

ภาพของบิ๊กแบง (The Cosmic Background Radiation)

The Cosmic Background Radiation: แสงแรกจากจักรวาล

ขนาดต่างๆในจักรวาล:

จากนั้นเด็กๆได้เล่นของเล่นที่เรียกว่า Franklin’s Bell หรือป๋องแป๋งไฟฟ้า (ผมเคยเขียนอธิบายไว้ที่ https://witpoko.com/?p=7)

วันนี้นักเรียนคนหนึ่งบอกว่าลองห้อยกระป๋องเปล่าสองกระป๋องไว้ตรงกลางจะเกิดอะไรขึ้น พบว่าเสียงดังดีครับ:

บรรยากาศกิจกรรมอยู่ที่นี่ครับ:

ลิงก์เรื่องเอลนีโญ (El Niño), ลานีญา (La Niña)

วันนี้ผมบันทึกเสียงสั้นๆวิทยาศาสตร์ทั่วไปในรายการ Sci & Tech ที่วิทยุไทยพีบีเอสเรื่องปรากฎการณ์เอลนีโญ และลานีญา เลยเอาสรุปและลิงก์ที่ผู้สนใจเข้าไปดูเพิ่มเติมมารวมไว้ที่นี่ครับ:

สรุปคือ:

  1. ในมหาสมุทรแปซิฟิกแถวๆเส้นศูนย์สูตรระหว่างออสเตรเลียกับอเมริกาใต้ตอนเหนือ ปกติจะมีลมพัดจากทิศตะวันออกมายังทิศตะวันตก ลมนี้เรียกว่า Trade Wind หรือลมสินค้า ผลคือพาความชื้นมาทำให้ฝนตกแถบออสเตรเลียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และน้ำแถบอเมริกาใต้ตอนเหนือมีอุณหภูมิต่ำมีปลาให้จับเป็นปกติ
  2. เมื่อลมนี้อ่อนตัวลง ฝนจะมาไม่ถึงฝั่งเอเชีย ทำให้น้ำแล้งกว่าปกติ ส่วนฝั่งอเมริกาใต้จะมีฝนตกมากขึ้นอาจมีน้ำท่วม และน้ำทะเลอุ่นกว่าปกติทำให้จับปลาได้น้อยลง เหตุการณ์นี้เรียกว่าเอลนีโญ
  3. เมื่อลมนี้แรงกว่าปกติ จะพาความชื้นฝั่งเอเชียมาก ทำให้ฝนตกมากอาจมีน้ำท่วม ส่วนฝั่งอเมริกาใต้จะแห้งแล้งกว่าปกติ น้ำเย็นขึ้นมีปลามากขึ้น ปรากฎการณ์นี้เรียกว่าลานีญา
  4. ปรากฎการณ์นี้เกิดเป็นระยะๆทุกๆ 2-7 ปี แต่ละครั้งมีอยู่นาน 9 เดือนถึง 2 ปี มีหลักฐานว่ามีมาเป็นพันปีแล้ว
  5. ยังไม่แน่ใจว่าภาวะโลกร้อนทำให้เอลนีโญ/ลานีญาเกิดบ่อยขึ้นหรือรุนแรงขึ้นหรือเปล่า

ลิงก์เผื่อมีประโยชน์ครับ:

กระแสน้ำในมหาสมุทรเกิดได้อย่างไร:

คลิปเอลนิโญจาก National Geographic:

ENSO: El Niño-Southern Oscillation:

คลิปภาษาไทยครับ:

บันทึกกิจกรรมวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กๆ อยากให้คุณพ่อคุณแม่คุณครูเอาไปประยุกต์เล่นกับเด็กๆเยอะๆครับ :-)