ผมบันทึกเสียงสั้นๆวิทยาศาสตร์ทั่วไปในรายการ Sci & Tech ที่วิทยุไทยพีบีเอสเรื่องการทำเทียบสัดส่วนเพื่อเข้าใจปริมาณต่างๆ เลยเอาสรุปและลิงก์ที่ผู้สนใจเข้าไปดูเพิ่มเติมมารวมไว้ที่นี่ครับ
สรุปคือ:
- ปริมาณรอบๆตัวมีตั้งแต่เล็กมากๆไปถึงใหญ่มากๆ เรารู้ว่าปริมาณพันล้านมันใหญ่ หรือปริมาณหนึ่งส่วนล้านมันเล็ก แต่เรามักจะไม่เข้าใจจริงๆว่ามันใหญ่หรือเล็กแค่ไหน
- วิธีที่มีประโยชน์คือเปรียบเทียบปริมาณที่เราพยายามเข้าใจด้วยการคูณด้วยอัตราส่วนให้มีปริมาณมีขนาดพอๆกับสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวันที่เราพอจะเข้าใจดีอยู่แล้ว
- วิธีแบบนี้ที่ดังๆก็เช่นวิธี Cosmic Calendar หรือปฏิทินจักรวาล (https://en.wikipedia.org/wiki/Cosmic_Calendar) ที่ย่นย่อเวลาตั้งแต่เริ่มบิ๊กแบงจนถึงปัจจุบันให้อยู่ใน 1 ปี ให้บิ๊กแบงอยู่เวลา 0:00 วันที่ 1 มกรา และปัจจุบันอยู่ที่ก่อนเที่ยงคืนวันที่ 31 ธันวาคม เราจะพบว่ามนุษย์รู้จักทำเกษตรกรรมและเริ่มอยู่เป็นเมืองใน 30 วินาทีสุดท้ายของทั้งปี และประวัติศาสตร์สมัยใหม่อยู่ในวินาทีสุดท้าย (ยกตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญเช่นบิ๊กแบงอยู่ 1 มกรา, กาแล็กซีทางช้างเผือกเกิด 12 พฤษภา, ระบบสุริยะและโลกเกิด 2 กันยา, สิ่งมีชีวิตเริ่มประมาณกลางเดือนกันยา, สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์เกิด 5 ธันวา, ปลาเกิด 17 ธันวา, ไดโนเสาร์เกิด 25 ธันวา, อุกกาบาตชนโลกฆ่าไดโนเสาร์ 30 ธันวา เวลา 6 โมงเช้าเศษๆ, ฯลฯ)
- เราอาจเปรียบเทียบขนาดเล็กเช่นแบคทีเรียในร่างกายเรา สมมุติว่าเราขยายมันขึ้นมาจนมีขนาด 1 เซ็นติเมตร ตัวเราก็จะต้องสูงประมาณ 10 กิโลเมตร (เท่ากับความสูงที่เครื่องบินพาณิชย์บิน) ด้วยอัตราส่วนเดียวกัน
- ถ้าเราย่อขนาดดวงอาทิตย์ให้เท่ากับกำปั้นของเรา (10 เซ็นติเมตร) โลกก็ต้องมีขนาด 1 มิลลิเมตร และอย่างห่างออกไป 10 เมตร ส่วนดาวฤกษ์ดวงต่อไปที่ใกล้ที่สุดจะอยู่แถวๆไต้หวันถ้าดวงอาทิตย์อยู่ในกรุงเทพ (https://witpoko.com/?p=4291)
- สำหรับเด็กๆ สามารถทำกิจกรรมสร้างไทม์ไลน์เอาเข็มหมุดไปปักตามเส้นตรงโดยให้ระยะห่าง 1 มิลลิเมตรเท่ากับ 100 ปีหรือประมาณ 1 ชั่วอายุคน เราจะพบว่าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติอยู่ในระยะสัก 10 เซ็นติเมตรเท่านั้น แต่คนกับลิงเริ่มแยกสายพันธุ์กันห่างไป 10 เมตร โลกเกิดห่างไป 45 กิโลเมตร และจักรวาลเกิดห่างไป 140 กิโลเมตร (https://witpoko.com/?p=4283)
- ถ้าจะเข้าใจว่าคอมพิวเตอร์คิดเลขเร็วกว่าเราแค่ไหน เราก็สามารถใชัอัตราส่วนเปรียบเทียบได้ เช่นคอมพิวเตอร์ปัจจุบันอาจจะบวกเลขได้ใน 1 ส่วนพันล้านวินาที แต่เราบวกเลขเดียวกันใช้เวลา 3 วินาที เราก็ใชัอัตราส่วนเทียบสมมุติว่าคอมพิวเตอร์ใช้เวลา 1 วินาที เราก็จะต้องใช้เวลาเป็น 3 พันล้านเท่า หรือประมาณ 100 ปี
- ถ้าจะหวังรวยโดยการถูกล็อตเตอรีรางวัลที่ 1 โอกาสที่จะเป็นอย่างนั้นเท่ากับ 1 ในล้าน เราสามารถทำความเข้าใจได้โดยจินตนาการแบงค์ร้อย 1 ล้านใบ จะพบว่าสามารถปูทับสนามฟุตบอลได้พอดีๆ ดังนั้นการถูกรางวัลที่หนึ่งจึงเหมือนการเลือกแบงค์ที่ปูทับสนามฟุตบอลออกมาหนึ่งใบแล้วเป็นใบที่ถูกรางวัลพอดี
ลิงก์แนะนำ:
The Cosmic Calendar
The Scale of the Universe
ความเร็วของคอมพิวเตอร์
ผมบันทึกเสียงสั้นๆวิทยาศาสตร์ทั่วไปในรายการ Sci & Tech ที่วิทยุไทยพีบีเอสเรื่อง UFO เลยเอาสรุปและลิงก์ที่ผู้สนใจเข้าไปดูเพิ่มเติมมารวมไว้ที่นี่ครับ
สรุปคือ:
- UFO (ยู-เอฟ-โอ) เป็นคำย่อมาจาก Unidentified Flying Object แปลว่าวัตถุบินที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จริงๆควรจะหมายความถึงอะไรก็ตามที่อยู่ในอากาศและผู้สังเกตยังไม่รู้ว่าคืออะไร (ซึ่งอาจจะเป็นมุมมองแปลกๆของเครื่องบิน โดรน บอลลูน ดาวเทียม เมฆ ดาวศุกร์ ฯลฯ) แต่ความหมายที่ประชาชนส่วนใหญ่คิดถึงคือต้องเป็นยานมนุษย์ต่างดาวแน่ๆ ทำให้เกิดความสับสน
- กระทรวงกลาโหมสหรัฐพึ่งปล่อยคลิป UFO ที่ถ่ายโดยกล้องในเครื่องบินรบออกมาสามคลิป กลายเป็นข่าวที่หลายๆสำนักข่าวและผู้คนหลากหลายตีความว่าเป็นหลักฐานมนุษย์ต่างดาว
- คลิปเหล่านี้ (เรียกกันว่าชื่อ FLIR, GIMBAL, และ GOFAST) ความจริงหลุดออกมาตั้งแต่ปี 2017 โดยที่สื่อต่างๆเช่นหนังสือพิมพ์และทีวี History Channel ก็ทำข่าวให้ตื่นเต้นให้ตีความว่าน่าจะเป็นยานต่างดาวไปแล้ว แต่ก็มีการวิเคราะห์แล้วว่า FLIR น่าจะเป็นวิดีโอความละเอียดต่ำของเครื่องบิน, GIMBAL เป็นวิดีโอความละเอียดต่ำของเครื่องบินและแสง flare ของกล้อง infrared, และ GOFAST เป็นบอลลูนระดับสูงครึ่งทางระหว่างพื้นน้ำกับเครื่องบินที่ถ่าย ยังไม่มีเหตุผลที่ต้องอธิบายว่าเป็นสิ่งมาจากนอกโลก
- การพยายามอธิบายเรื่องที่ไม่รู้ (UFO) ด้วยเรื่องที่เรายิ่งไม่รู้และยิ่งเป็นไปได้ยากเพราะข้อจำกัดด้วยกฎเกณฑ์ธรรมชาติ (มนุษย์ต่างดาวมาจากดาวอื่นหรือมีการนั่งยานเวลา Time Machine มาให้เราเห็น) ทำให้จินตนาการเตลิดและสนุกสนานไปกันใหญ่ แต่คงไม่น่าตรงกับความจริง เหมือนเราพยายามอธิบายความร้อนในโลกและภูเขาไฟว่าใจกลางโลกมีมังกรไฟยักษ์อาศัยอยู่ การพยายามอธิบายสิ่งที่เรายังไม่รู้ใดๆเราควรจะพยายามอธิบายด้วยความรู้และกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่มนุษยชาติสะสมมาก่อน เมื่อลองทุกอย่างแล้วไม่สำเร็จจึงค่อยหาคำอธิบายที่เป็นไปได้ยากขึ้นเรื่อยๆมาลอง
- พื้นที่ 51 หรือ Area 51 เป็นฐานทัพอากาศลับที่รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา มีคนเห็น UFO แถวนั้นบ่อยๆมาเป็นเวลาหลายสิบปี หลายๆคนจึงเชื่อทฤษฎีสมคมคิดเรื่องมนุษย์ต่างดาวแถว Area 51 แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่า UFO เหล่านั้นน่าจะเป็นเครื่องบินในโครงการลับหลายๆโครงการ เช่น เครื่องบินจารกรรม U-2, เครื่องบินจารกรรม SR-71, เครื่องบินสเตลธ์ F-117, และเครื่องบินทดลองลับอีกหลายๆแบบที่ยังไม่มีชื่อเปิดเผยเป็นสาธารณะ
- การผ่าศพมนุษย์ต่างดาวและยานต่างดาวตกที่ Roswell ก็เป็นทฤษฎีสมคบคิดอีกอันหนึ่ง เพราะเมื่อปี 1947 มีบอลลูนพิเศษที่เป็นความลับทางทหารตกแถวนั้น บอลลูนนี้น่าสนใจมากเพราะเป็นบอลลูนที่ถูกออกแบบให้ลอยสูงระดับหนึ่งในชั้นบรรยากาศเพื่อฟังเสียงการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์จากทั่วโลก เนื่องจากความหนาแน่นที่ต่างกันในชั้นบรรยากาศทำหน้าที่นำเสียงจากทั่วโลกให้แพร่กระจายไปได้ไกลๆ (Project Mogul) ส่วนคลิปผ่าศพมนุษย์ต่างดาวเป็นคลิปหลอกที่ถ่ายทำไม่สมจริงอย่างยิ่ง
- ด้วยจำนวนดาวนับล้านล้านดวง (10^24 ดวง) ผมคิดว่าต้องมีสิ่งมีชีวิตต่างดาวอยู่มากมายแน่ๆเพราะโลกไม่น่าจะเป็นที่เดียวในจักรวาลที่มีสิ่งมีชีวิต แต่ความจริงสำคัญอีกอย่างคือระยะทางระหว่างดาวมันไกลมากๆ แสงซึ่งมีความเร็วประมาณพันล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมงต้องใช้เวลาเดินทางเป็นปีๆ ดังนั้นโอกาสที่สิ่งมีชีวิตต่างดาวจะพบกันตัวเป็นๆก็คงไม่มากนัก (ยกเว้นถ้ามีสิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเรา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็มีแผนสำรวจอยู่) การที่จะพยายามอธิบาย UFO ด้วยยานอวกาศต่างดาวจึงควรเป็นลำดับท้ายๆหลังจากเรา (และมนุษยชาติ) จนปัญญาแล้วเท่านั้น
- ที่ผ่านมา UFO มักจะเป็นสิ่งเหล่านี้: เครื่องบิน, โดรน, บอลลูน, เมฆ, ดาวเทียม, ดาวตก, ดาวศุกร์, แสงสะท้อนและภาพลวงตา, ไฟแฟลร์, สัตว์ปีกและแมลง, และภาพปลอมขึ้นมา
ลิงก์น่าสนใจ:
Pentagon releases UFO videos for the record
That Navy UFO Footage Has an Optical Explanation
The Real Story Behind the Myth of Area 51
Exclusive Area 51 Pictures: Secret Plane Crash Revealed
The Area 51 File: Secret Aircraft and Soviet MiGs
กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นจะกำหนดขั้นตอนเมื่อสังเกตเห็น UFO
เว็บไซต์ตรวจสอบปรากฎการณ์ประหลาดๆ Metabunk
ผมบันทึกเสียงสั้นๆวิทยาศาสตร์ทั่วไปในรายการ Sci & Tech ที่วิทยุไทยพีบีเอสเรื่องการนอน เลยเอาสรุปและลิงก์ที่ผู้สนใจเข้าไปดูเพิ่มเติมมารวมไว้ที่นี่ครับ
สรุปคือ:
- การนอนมีความสำคัญมากสำหรับสิ่งมีชีวิต เพราะสัตว์ส่วนมากต่างก็นอนกันทั้งนั้น มีการทดลองกับสัตว์พบว่าถ้าบังคับไม่ให้นอนเป็นเวลานานๆสัตว์จะตายได้ ยังไม่มีการทดลองจนถึงตายกับคนแต่พบว่าคนที่อดนอนหลายๆวันจะมีสุขภาพทางกายและทางจิตแย่มาก
- จากการวัดคลื่นสมองขณะที่คนหลับ พบว่าสมองมีการทำงานเป็นวงจรหลับตื้น หลับลึก หลับแบบตาเคลื่อนไหว (REM sleep) อย่างนี้ต่อกันไปหลายๆรอบในการหลับแต่ละครั้ง ช่วงหลับลึกน่าจะเป็นช่วงทำความสะอาดสมองด้วยการชะล้าง ซ่อมแซมอวัยวะต่างๆ สร้างเนื้อเยื่อ กระดูก และระบบภูมิคุ้มกัน สร้างความจำจากประสบการณ์ตอนตื่น ช่วงหลับตาเคลื่อนไหวน่าจะเกี่ยวกับการเรียนรู้เชื่อมโยงประสบการณ์ แก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์
- คนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันน่าจะนอนน้อยเกินไปอย่างเรื้อรัง เวลานอนปกติของมนุษย์อาจจะเป็นประมาณ 7-8 ชั่วโมงในเวลากลางคืน รวมกับนอนกลางวันช่วงบ่ายอ่อนๆอีก 1/2 – 1 ชั่วโมง
- ถ้ามีอาการหลงลืม มึนๆ ไม่มีสมาธิ ง่วง เครียด ป่วยง่าย ไม่มีกำลัง เรียนรู้ช้า ทักษะการเคลื่อนไหวไม่ดี หิวและอยากกินบ่อยๆ อาจเป็นผลมาจากการนอนไม่พอก็ได้
- การนอนน้อยหลายๆวันแล้วไปนอนชดเชยวันอื่นๆจะไม่ได้ผลดีเท่าที่เราอยากให้เป็น ควรพยายามนอนให้เพียงพอทุกวันจะดีกว่ามาก
- ปรับปรุงการนอนได้โดย นอนและตื่นให้เป็นเวลาทุกวัน พยายามนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ออกกำลังกาย (แต่เว้นเวลาไว้อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงก่อนนอน) หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและบุหรี่ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอลก่อนนอน หลีกเลี่ยงอาหารเย็นปริมาณมากๆ อย่านอนกลางวันนานๆ กันเวลาไว้ประมาณ 15-30 นาทีก่อนนอนเพื่อกิจกรรมผ่อนคลายเช่นอ่านหนังสือ ห้องนอนควรจะมืดไม่ร้อน ไม่เปิดจอต่างๆ (ทีวี คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ) ก่อนนอน
- ถ้ามีปัญหานอนไม่หลับเรื้อรังควรพบแพทย์ แต่อย่าพึ่งยานอนหลับเป็นระยะเวลานานๆเพราะสมองจะไม่ได้ทำงานที่ควรทำตอนเราหลับ ถ้ามีอาการหยุดหายใจขณะนอน (sleep apnea) ก็หาทางแก้ไขเสีย
ลิงก์น่าสนใจ:
What is the real reason we sleep?
What Are REM and Non-REM Sleep?
หนังสือ Why We Sleep: Unlocking the Power of Sleep and Dreams โดย Matthew Walker
บันทึกกิจกรรมวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กๆ อยากให้คุณพ่อคุณแม่คุณครูเอาไปประยุกต์เล่นกับเด็กๆเยอะๆครับ :-)