Posted in

วิทย์ประถม: รู้จักขนาดและการหมุนของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ

ผมไปทำกิจกรรมวิทย์พ่อโก้ที่ศูนย์การเรียนปฐมธรรมครับ เด็กๆหัดคิดแบบวิทยาศาสตร์โดยพยายามอธิบายมายากล สัปดาห์นี้เราทำความรู้จักดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมากขึ้น ให้เปรียบเทียบขนาดและการหมุนของมัน หลังจากนั้นเด็กๆก็เล่นลูกข่างพลังลมกัน

(อัลบั้มบรรยากาศกิจกรรมอยู่ที่นี่ ส่วนลิงก์รวมทุกกิจกรรมอยู่ที่นี่นะครับ)

ก่อนอื่นเด็กๆได้ดูมายากลในคลิปนี้ครับ เด็กๆดูกลก่อนแล้วพยายามอธิบายก่อนเฉลย คราวนี้เป็นกลไม้แขวนเสื้อ:

กิจกรรมหัดอธิบายมายากลนี้ฝีกเด็กๆให้คิดแบบวิทยาศาสตร์ มีการสังเกต การตั้งสมมุติฐานเพื่ออธิบายสิ่งที่สังเกตมา การตรวจสอบสมมุติฐานกับข้อมูลที่สังเกตมา การตั้งสมมุติฐานใหม่เมื่อสมมุติฐานเดิมขัดกับข้อมูล นอกจากนี้เราพยายามให้เด็กๆมีความกล้าคิดและออกความเห็น และหวังว่าเมื่อโตไปจะไม่ถูกหลอกง่ายๆครับ

ผมเอาคลิปเปรียบเทียบขนาดดาวเคราะห์และดวงอาทิตย์ให้เด็กๆดู:

จากนั้นก็ให้ดูคลิปเปรียบเทียบการหมุน ทั้งแกนหมุน ทิศทางหมุน และอัตราเร็วการหมุนของดาวเคราะห์ให้เด็กๆสังเกตกัน:

สังเกตกันว่า โลกและดาวอังคารหมุนครบรอบใช้เวลาใกล้เคียงกัน, ดาวศุกร์หมุนหนึ่งรอบใช้เวลา 8 เดือน, ดาวพุธหมุนหนึ่งรอบใช้เวลาสองเดือน, ดาวเคราะห์ใหญ่หมุนเร็วกว่าโลกทั้งนั้น

ดาวเคราะห์แต่ละดวงหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วไม่เท่ากันสามารถอธิบายได้จาก “ประวัติการก่อกำเนิด” และ “แรงต่าง ๆ ที่มากระทำ” ตลอดอายุของระบบสุริยะ ดังนี้ครับ

จุดเริ่มต้น: การก่อตัวจากเมฆก๊าซและฝุ่นที่หมุนอยู่เดิม

ระบบสุริยะเริ่มต้นจาก เมฆก๊าซและฝุ่นขนาดใหญ่ ที่มีการหมุนรอบตัวเองอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อเมฆนี้ยุบตัวลงด้วยแรงโน้มถ่วง

  • การยุบตัวทำให้ หมุนเร็วขึ้น (หลักการเดียวกับนักสเก็ตน้ำแข็งที่หุบแขนแล้วหมุนเร็วขึ้น)
  • ฝุ่นและก้อนวัสดุเล็ก ๆ ค่อย ๆ รวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นดาวเคราะห์

อย่างไรก็ตาม ก้อนวัสดุที่รวมตัวเป็นดาวเคราะห์แต่ละดวง

  • ไม่ได้เกิดจากบริเวณเดียวกันทั้งหมด
  • ได้รับ “โมเมนตัมเชิงมุม” (ปริมาณการหมุน) ไม่เท่ากัน

จึงทำให้ ความเร็วหมุนเริ่มต้นของดาวเคราะห์แต่ละดวงแตกต่างกัน ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของการก่อตัว

การชนปะทะอย่างรุนแรงในระยะแรกของระบบสุริยะ

ในช่วงแรกเริ่มของระบบสุริยะ มีการชนกันระหว่าง

  • ก้อนหินขนาดใหญ่
  • ดาวเคราะห์น้อย
  • วัตถุท้องฟ้าขนาดต่าง ๆ

อย่างต่อเนื่องและรุนแรง การชนแต่ละครั้งสามารถ

  • ทำให้ดาวเคราะห์ หมุนเร็วขึ้นหรือช้าลง
  • ทำให้ ทิศทางหรือแกนการหมุนเปลี่ยนไป ได้

ตัวอย่างตามแบบจำลองทางดาราศาสตร์:

  • โลกอาจเคยถูกวัตถุขนาดประมาณ “ดาวอังคาร” พุ่งชน
    เศษที่กระเด็นออกไปอาจรวมตัวกันเป็น ดวงจันทร์
    การชนครั้งนั้นย่อมส่งผลต่อ ความเร็วและแนวแกนการหมุนของโลก ด้วย
  • ดาวศุกร์ซึ่งหมุนช้ามากและหมุนในทิศตรงกันข้ามกับดาวส่วนใหญ่
    เป็นไปได้ว่าเคยผ่านการชนที่มีผลทำให้แกนหมุน “พลิกกลับ” และลดความเร็วการหมุนลงอย่างมาก

ดังนั้น ประวัติการชนของดาวเคราะห์แต่ละดวงไม่เหมือนกัน
จึงนำไปสู่ความแตกต่างของความเร็วการหมุนในปัจจุบัน

มวลและโครงสร้างภายในของดาวเคราะห์

ปัจจัยด้าน มวลและการกระจายมวลภายใน ก็มีบทบาทสำคัญ

  • ดาวเคราะห์ที่มีมวลมาก หรือมีโครงสร้างภายในแบบชั้นต่าง ๆ (แกนกลาง ชั้นหิน ชั้นก๊าซ ฯลฯ)
    จะตอบสนองต่อแรงกระแทกและแรงโน้มถ่วงในลักษณะแตกต่างกัน
  • การกระจายมวลมีผลต่อ โมเมนต์ความเฉื่อย (ความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงความเร็วการหมุน)

ตัวอย่าง:

  • ดาวเคราะห์แก๊สยักษ์ เช่น ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน
    มีการหมุนรอบตัวเองเร็วมาก วันหนึ่งยาวเพียงประมาณ 10 ชั่วโมง (ในกรณีของดาวพฤหัส)
  • ดาวหินอย่าง ดาวศุกร์ มีการหมุนช้ามาก (ใช้เวลาหมุนรอบตัวเองยาวนานกว่าหนึ่งปีของโลก)
    ซึ่งเป็นผลรวมจากโครงสร้างภายใน ประวัติการชน และปัจจัยอื่น ๆ เช่นแรงหน่วงจากบรรยากาศ

แรงน้ำขึ้นน้ำลงจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ (Tidal Forces)

แรงน้ำขึ้นน้ำลง (tidal forces) เกิดจากความแตกต่างของแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อส่วนต่าง ๆ ของดาวเคราะห์
ไม่เพียงส่งผลต่อมหาสมุทร แต่ยังส่งผลต่อ “ทั้งก้อนดาวเคราะห์” ในระยะยาวด้วย

ผลของแรงนี้คือ

  • ค่อย ๆ หน่วงให้การหมุนช้าลง
  • หรือค่อย ๆ ทำให้การหมุน สัมพันธ์กับการโคจร (tidal locking)

ตัวอย่าง:

  • ดวงจันทร์ของโลก
    ปัจจุบันหมุนรอบตัวเองใช้เวลาเท่ากับการโคจรรอบโลกหนึ่งรอบ
    ทำให้เราเห็นด้านเดียวของดวงจันทร์ตลอดเวลา นี่เป็นผลจากแรงน้ำขึ้นน้ำลงที่ทำงานมาเป็นเวลายาวนาน
  • ดาวพุธ อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มาก จึงได้รับแรงน้ำขึ้นน้ำลงรุนแรง
    ทำให้การหมุนรอบตัวเอง “ผูก” กับการโคจรรอบดวงอาทิตย์ในอัตราส่วน 3:2
    (หมุนรอบตัวเอง 3 รอบ ในเวลาที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ 2 รอบ)

ดาวเคราะห์แต่ละดวงอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ไม่เท่ากัน
มีดวงจันทร์บริวารจำนวนและมวลต่างกัน
จึงได้รับผลจากแรงน้ำขึ้นน้ำลง มาก–น้อยไม่เท่ากัน ส่งผลต่อความเร็วการหมุนที่แตกต่างกัน

บรรยากาศ มหาสมุทร และกระบวนการบนผิวดาว

สำหรับดาวเคราะห์ที่มี

  • บรรยากาศหนาแน่น
  • มหาสมุทรหรือของไหลบนพื้นผิวจำนวนมาก

การไหลเวียนของอากาศและของเหลวสามารถ แลกเปลี่ยนพลังงานและโมเมนตัมกับการหมุนของดาวเคราะห์ ได้

เช่น บนโลก

  • กระแสน้ำในมหาสมุทร
  • การไหลเวียนของบรรยากาศ
  • การเสียดทานระหว่างชั้นต่าง ๆ ของโลก

ทั้งหมดนี้มีผลเล็กน้อยต่อความเร็วการหมุนของโลก แต่เมื่อสะสมในช่วงเวลายาวนานระดับล้าน–พันล้านปี ก็อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่วัดได้

ในกรณีของ ดาวศุกร์ ซึ่งมีบรรยากาศหนาแน่นมาก
กระบวนการแลกเปลี่ยนแรงระหว่างบรรยากาศกับพื้นผิวและโครงสร้างภายใน
อาจมีส่วนทำให้การหมุนช้าลงอย่างมากในระยะยาว
สรุปภาพรวม

สรุป ความแตกต่างของความเร็วการหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์แต่ละดวง
เกิดจากการผสมผสานของปัจจัยหลัก ๆ ดังนี้

  1. เงื่อนไขเริ่มต้นในการก่อตัว
    จากเมฆก๊าซและฝุ่นที่มีการหมุนไม่สม่ำเสมอ ทำให้แต่ละดวงมีโมเมนตัมเชิงมุมเริ่มต้นต่างกัน
  2. ประวัติการชนในช่วงแรกของระบบสุริยะ
    การชนด้วยความเร็วสูงจากวัตถุต่าง ๆ ทำให้ความเร็วและทิศทางการหมุนเปลี่ยนไป
  3. มวลและโครงสร้างภายในที่แตกต่างกัน
    ส่งผลให้ตอบสนองต่อแรงต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน
  4. แรงน้ำขึ้นน้ำลงจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
    ค่อย ๆ ปรับความเร็วและรูปแบบการหมุนตลอดเวลาที่ยาวนาน
  5. บรรยากาศ มหาสมุทร และกระบวนการบนผิวดาว
    มีส่วนปรับเปลี่ยนการหมุนอย่างช้า ๆ ในระยะยาว ครับ

มีเด็กประถมปลายจำได้ว่าผมเคยให้ดูคลิปดาวที่ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ของเรามากมายมหาศาล จึงขอให้ผมเอาให้ดูอีก ผมจึงให้ดูคลิปนี้ด้วยครับ:

เวลาที่เหลือ ผมให้เด็กๆเล่นลูกข่างลม โดยลมจะชนกับผิวลูกข่างแล้ววิ่งไปตามร่อง แรงที่ลมผลักลูกข่างอยู่ในทิศทางตรงข้ามกับทิศที่ลมวิ่งออกมา ทิศทางที่ลมวิ่งออกมาทำให้เหมือนกับบิดลูกข่าง ทำให้ลูกข่างหมุนครับ:

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.