อัลบั้มภาพการเรียนการสอนอยู่ที่นี่ครับ
ถ้าสงสัยว่าไม่เห็นรูปหรือวิดีโอ เข้าไปดูที่เว็บ https://witpoko.com/ นะครับ ส่วนใหญ่ถ้าอ่านในเมล์จะไม่เห็นวิดีโอครับ
(คราวที่แล้วเรื่องวิดีโอหุ่นยนต์นกและถ่ายหนัง Silly Putty กลืนแม่เหล็ก อยู่ที่นี่ครับ)
เปิดเทอมใหม่แล้วครับ วันนี้ผมไปสอนเด็กๆกลุ่มบ้านเรียนปฐมธรรม กลุ่มบ้านเรียนภูมิธรรม และอนุบาลบ้านพลอยภูมิครับ วันนี้เรื่องจุดบอดในตาของเรา และภาพลวงตาต่างๆครับ
ทุกครั้งที่เริ่มเทอมใหม่ ผมจะพยายามคุยกับเด็กๆว่าเราต้องระมัดระวังที่จะเชื่อประสาทสัมผัสต่างๆของเราครับ เนื่องจากประสาทสัมผ้สเรามีข้อจำกัด และเรารับรู้และเข้าใจสิ่งต่างๆด้วยการแปลผลของสมอง และสมองก็ถูกหลอกได้ง่าย คิดไปเองได้ง่าย ถ้าเราไม่ระวัง เราก็รับรู้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ถ้าเราสงสัยหรือไม่มั่นใจว่าเรารับรู้ได้ถูกต้องหรือเปล่า เราควรจะหาวิธีใช้อุปกรณ์ที่น่าเชื่อถือมาวัดด้วยครับ จะเชื่อแต่ความรู้สึกหรือความคิดของเราเองไม่ได้ ผมหวังว่าในอนาคตเมื่อเด็กๆเห็นอะไรแปลกๆพิสดารเขาจะได้ไม่รีบเชื่ออะไรง่ายๆ แต่ต้องพยายามเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรจริงๆก่อน
ก่อนอื่นผมก็คุยเรื่องตาของเราก่อนครับ เรามองเห็นได้โดยแสงวิ่งไปกระทบกับจอรับแสง (เรตินา, Retina) ที่ด้านหลังข้างในลูกตา แต่บังเอิญตาของคนเราวิวัฒนาการมาโดยมีเส้นเลือดและเส้นประสาทอยู่บนผิวของจอรับแสง เมื่อจะส่งสัญญาณไปตามเส้นประสาทไปยังสมอง เส้นประสาทจะต้องร้อยผ่านรูอันหนึ่งที่อยู่บนจอรับแสง รอบบริเวณรูนั้นจะไม่มีเซลล์รับแสง ดังนั้นถ้าแสงจากภายนอกลูกตาไปตกลงบนบริเวณนั้นพอดี ตาจะไม่สามารถเห็นแสงเหล่านั้นได้ บริเวณรูนั้นจึงเรียกว่าจุดบอด หรือ Blind Spot นั่นเอง
จุดบอดหรือ Blind spot อยู่ตรงที่เส้นประสาทรวมกันเป็นเส้นลากจากภายในลูกตาออกมาด้านหลัง ไปยังสมองในที่สุด (ภาพจาก http://transitionfour.wordpress.com/tag/blind-spot/) |
ถ้าจะหาจุดบอดในตาซ้าย เราก็ทำสลับกับขั้นตอนสำหรับตาขวา โดยเราหลับตาขวาแล้วใช้ตาซ้ายมองตัวหนังสือตัวขวาไว้นิ่งๆ อย่ากรอกตาไปมา แล้วเราก็ขยับกระดาษให้ใกล้ไกลหน้าเราช้าๆ ที่ระยะหนึ่งตัวหนังสือตัวซ้ายจะหายไปเพราะแสงจากหนังสือตัวซ้ายตกลงบนจุดบอดตาซ้ายของเราพอดี
ภาพลวงตาอีกอันก็คือ มังกรลวงตา ซึ่งอาศัยหลักการที่ว่าสมองเมื่อเห็นสิ่งที่คล้ายๆหน้า (คือมีตา จมูก ปาก) ก็จะคิดเองว่าหน้าที่ควรเป็นต้องเป็นหน้านูนๆ (เพราะหน้าของคนและสัตว์เป็นหน้านูนๆทั้งนั้น) พอเราเอากระดาษไปตัดและพับให้เป็นรูปกล่องเว้าเข้าไป แต่มีหน้า ปาก จมูกในที่ที่เหมาะสม สมองก็คิดว่าเป็นหน้าจริงๆ และเมื่อเรามองในมุมต่างๆเราก็จะเห็น “หน้า” ส่ายไปมา มองมาทางเราเสมอ ตัวอย่างมังกรลวงตาเป็นอย่างนี้ครับ:
ตอนประกอบมังกร ถ้างงวิธีทำให้ดูวิดีโอคลิปอันนี้ครับ:
เจ้ามังกรลวงตาเนี่ยเป็นแบบหนึ่งของภาพลวงตาที่เรียกว่าภาพลวงตาแบบหน้าเว้า (Hollow-face illusion) ที่สมองอยากจะเห็นหน้านูนๆทั้งๆที่มันไม่ใช่ ถ้าเอาหน้าเว้าไปวางตามทางคนเดิน คนที่เดินผ่านจะเห็นหน้าต่างๆมองตาม แม้ว่าเรารู้ว่ามันไม่ใช่หน้าจริงๆและมันควรจะอยู่เฉยๆก็ตาม บังคับให้ไม่เห็นไม่ได้ ลองดูคลิปตัวอย่างนี้ครับ:
ภาพลวงตาคล้ายๆกับพวกหน้าเว้าก็คือพวกที่ทำให้เรางงว่าอะไรอยู่ใกล้อะไรอยู่ไกลเช่นภาพน็อตประหลาดและเพื่อนๆเหล่านี้:
ต่อไปผมก็ให้เด็กๆดูคลิปที่สมองเดาว่าสิ่งที่เห็นมีความลึกหรือห่างไกลต่างกัน ทำให้กะขนาดวัตถุผิด ในคลิปอันนี้ลองดูสิครับว่าบุหรี่อันไหนยาวกว่ากัน อันนี้วาดเล่นเองได้ง่ายๆครับ:
ในคลิปข้างบน ภาพวาดแบบเพอสเป็คทีฟ (perspective) ทำให้เรารู้สึกถึงความลึกเข้าไปในกระดาษแบนๆ ทำให้เราคิดว่าบุหรี่อันที่อยู่”ลึก”กว่ามีขนาดใหญ่กว่า ทั้งๆที่มันมีขนาดเท่ากัน การตีความแบบนี้ของสมองอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเห็นพระจันทร์หรือพระอาทิตย์ตอนขึ้นหรือตอนตกมีขนาดใหญ่กว่าตอนอยู่สูงๆเหนือหัวเรามากด้วยครับ คือเราให้น้ำหนักว่าของในแนวราบแนวสายตามีระยะไกลกว่าของเหนือหัว พอเราเห็นดวงจันทร์แถวๆขอบฟ้า สมองจึงคิดว่ามันไกลกว่ากว่าตอนมันอยู่เหนือหัว เลยแปลความว่าขนาดมันใหญ่ตอนอยู่แถวๆขอบฟ้า
ภาพลวงตาอีกอันก็คือการที่เราเห็นเส้นขนานเอียงเข้าหากันถ้ามีลายเป็นก้างปลาอยู่ใกล้ๆครับ อันนี้เด็กๆสามารถวาดเล่นได้ไม่ยาก:
ภาพลวงตาอันสุดท้ายแสดงว่าสมองเราเดาว่าสีที่เห็นควรจะเป็นสีอะไร โดยดูจากสีและเงารอบๆ ซึ่งบางครั้งก็ห่างไกลจากความเป็นจริงมาก:
หลังจากดูภาพลวงตาต่างๆเหล่านี้ไปแล้ว ผมก็ย้ำกับเด็กๆว่าให้ระวัง อย่าเชื่อประสาทสัมผัสหรือความจำเรามากเกินไป เพราะเราถูกหลอกง่ายมาก ถ้าจะศึกษาอะไรควรหาทางวัดปริมาณต่างๆดีกว่า จะมีโอกาสหลอกตัวเองน้อยลง
นี่เป็นภาพตัวอย่างจากชั้นเรียนครับ อัลบั้มเต็มอยู่ที่นี่ครับ
One thought on “(ปลูกภูมิต้านทานการหลอกลวงด้วยเรื่อง)จุดบอดในดวงตาและภาพลวงตา”