วันนี้ผมเห็นแผนที่อันนี้ครับ จุดสีดำๆคือศูนย์กลางแผ่นดินไหว มีข้อมูลของแผ่นดินไหวกว่า 350,000 อัน (ดูรูปใหญ่ที่
ลิงค์นี้ครับ):
เราอยู่บน
เปลือกแผ่นหินที่ลอยอยู่บนชั้นหินเหลวในโลก เวลาเปลือกแต่ละชิ้นชนกันก็จะเกิดภูเขา หรือหุบเหวใต้ทะเล เปลือกโลกเคลื่อนที่ช้ามาก (เร็วประมาณความเร็วเล็บยาว ถึงผมยาว) ดังนั้นการชนกันจะใช้เวลานานมากๆเมื่อเทียบกับช่วงชีวิตคน เวลาเปลือกชนกันแล้วมีการขยับก็จะเกิดแผ่นดินไหว
ดูญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อิินโดสิครับ โดนทั้งประเทศ ประเทศไทยหลบไปได้หวุดหวิด แนวภูเขาสูงๆเช่นหิมาลัยก็อยู่ในแนวที่เปลือกโลกชนกันครับ
ปลายเดือนจะมี
งานหนังสือลดราคาอีกแล้ว ผมเลยขอโอกาสแนะนำหนังสือน่าอ่านสองเล่มนะครับ
เล่มแรกคือ “
ปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล” โดยคุณ วินทร์ เลียววาริณ เป็นหนังสือที่ทุกคนควรได้อ่านก่อนต้องเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ต่างๆในโรงเรียน เพราะหนังสือจะเป็นไกด์ว่านักวิทยาศาสตร์สนใจธรรมชาติไปทำบ้าอะไร (คนทั่วไปมักเข้าใจว่านักวิทยาศาสตร์คือคนที่ชอบหมกมุ่นอยู่กับสูตรต่างๆ และศึกษาเรื่องลึกซึ้งที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ หรือไม่ก็สร้างของมาขายเพื่อหาเงิน แต่จริงๆแล้วนักวิทยาศาสตร์มักจะเป็นพวกนักชอบสำรวจและผจญภัยต่างหาก เพียงแต่เป็นการสำรวจและผจญภัยในเรื่อง ideas คือการสำรวจและผจญภัยจะเกิดในสมอง ด้วยการสังเกตและเดาว่าธรรมชาติทำงานอย่างไร และหาทางตรวจสอบด้วยการทดลองและการสังเกต ว่าเดาถูกหรือเปล่า เวลาเจออะไรแปลกๆแล้วเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ทำงานอย่างไร นักวิทยาศาสตร์จะมีความสุขมาก)
จากคำแนะนำที่เว็บของหนังสือครับ:
เดาไม่ออกใช่ไหมว่านี่เป็นหนังสืออะไร เรื่องนี้มีองค์ประกอบของคน ปลา ลิง มนุษย์ต่างดาว มนุษย์ล่องหน ไอน์สไตน์ พีระมิด หมอดู ฮวงจุ้ย นอสตราดามุส แอตแลนติส สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ผี บุพเพสันนิวาส หลุมดำ การเดินทางไปดาวดวงอื่น ฯลฯ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนสนามฟุตบอล
ยิ่งงงกว่าเดิม? เฉลย! หนังสือเล่มนี้เป็นการตั้งคำถามเชิงปรัชญา อภิปรัชญา ศาสนา จักรวาลวิทยา ฯลฯ โดยวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์และหลัก กาลามสูตร ที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้นานมาแล้ว
…
คนเราเกิดมาทำไม? มนุษย์ต่างดาวสร้างพีระมิดจริงไหม? พรหมลิขิตกำหนดชีวิตเราจริงหรือ? ไสยศาสตร์ ฮวงจุ้ย หมอดู ฯลฯ เชื่อถือได้แค่ไหน? ผีมีจริงไหม? สวรรค์นรกอยู่ที่ใด? คนเราไม่มีศาสนาได้หรือเปล่า? บุพเพสันนิวาสมีจริงหรือ? คำตอบอยู่ในสนามฟุตบอลแห่งนี้ …
ผมซื้อหนังสือเล่มนี้ไม่ต่ำกว่า 20 เล่มแจกคนรอบข้างในหลายปีที่ผ่านมา จนผมจำไม่ได้ว่าให้ใครไปบ้าง เอาเป็นว่าถ้าผมยังไม่เคยให้ท่าน ท่านไปหาซื้ออ่านดูเองนะครับ 😀
อีกเล่มคือ “
ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ง” ที่แปลมาจาก “
A Short History of Nearly Everything” โดย Bill Bryson เป็นหนังสือที่เล่าว่าเรารู้อะไรบ้าง รู้ได้อย่างไร แต่ส่วนใหญ่เป็นประวัติศาสตร์สนุกๆของการค้นพบต่างๆ อ่านแล้วจะเข้าใจธรรมชาติมากขึ้น มีเรื่องเกี่ยวกับความโชคดี ความโชคร้าย นิสัยดี นิสัยเสียของเหล่านักวิทยาศาสตร์หลายๆคน ผมซื้อฉบับภาษาอังกฤษแจกไป 3 เล่ม และฟัง Audio Book จบไปสองรอบแล้ว ยังสนุกเหมือนเดิม ผมไม่เคยอ่านเล่มภาษาไทยจนจบ แต่เท่าที่ลองอ่านบางส่วนดู คิดว่าน่าจะแปลใช้ได้ครับ ที่สำคัญเป็นหนังสือที่คนเขียนมีอารมณ์ขัน และผมมักจะหัวเราะทุกๆหน้าสองหน้า เป็นยาคลายเครียดอันวิเศษครับ
ผมแนะนำหนังสือสองเล่มนี้ เพราะผมเป็นห่วงว่าเด็กไทยเรียนหนังสือไปแล้วดูเหมือนจะเสียเวลาไปเปล่าๆ เพราะไปเข้าใจว่าคณิต/ฟิสิกส์/เคมี/ชีวะคือสูตรและข้อมูลท่องจำต่างๆที่ต้องเรียนเพื่อสอบ และเมื่อสอบเสร็จก็จำไม่ได้เลยว่าได้ศึกษาอะไรไป แทนที่จะได้เรียนรู้ธรรมชาติแบบสุนทรีย์ และคิดทำอะไรต่อยอดขึ้นไปอีก ถ้ามีคนอ่านหนังสือสองเล่มนี้อย่างกว้างขวางอาจจะเปลี่ยนวิธีคิด วิธีเรียนรู้ หรือชะตากรรมของเด็กๆในอนาคตได้บ้าง
เวลาผมสอนอะไรเกี่ยวกับวิทย์และคณิตผมจะพยายามแทรกเรื่องประวัติศาสตร์ของเรื่องที่เรียนเข้าไปด้วย จะได้มีบริบทว่าเรื่องเหล่านี้น่าสนใจอย่างไร ถึงมีคนมาค้นคว้าจนเป็นเรื่องราวให้เราได้เรียนกัน รางวัลสูงสุดของผมคือเมื่อเด็กอนุบาลสามบอกผมว่า “พ่อโก้ครับ สุดยอดเลยครับ!” เมื่อผมเอาแม่เหล็กไปทำการทดลองต่างๆกับเด็กๆ และเด็กป.1 ถามผมว่า “พ่อกาลิเลโอ ชื่ออะไรคะ” เมื่อเราทำการทดลองเรื่องลูกตุ้มนาฬิกา และเมื่อผมตอบว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันแต่เราน่าจะหาได้ ผู้ถาม (เด็กป. 1!!!) ก็ไปค้นหาแล้วมาบอกผมสัปดาห์ต่อไป (ชื่อ Vincenzo ครับ)
ปล. ผมชอบวิทยาศาสตร์เพราะผมเป็นคนชอบเรื่องเล่าต่างๆ (นิทาน นิยาย ข่าวซุบซิบ) และเรื่องการทำงานของธรรมชาติเป็นเรื่องราวที่วิเศษมาก มีความจริงที่ตรวจสอบได้ มีความสวยงาม ผูกกันเป็นเรื่องราวอย่างแยบยล มีหักมุมและ punch line เจ๋งๆเสมอๆ
ผมไปสอนเด็กป.1 และ อนุบาล 2/2 ที่โรงเรียนบ้านพลอยภูมิ เรื่องภาพลวงตามาครับ
ดูวิดีโอคลิปก่อนครับ:
เราสามารถพิมพ์บนกระดาษที่ค่อนข้างแข็ง แล้วตัดตามแบบมาติดกาวเป็นรูปมังกรเล่นเองที่บ้านได้ มี
แบบเป็นไฟล์ให้โหลดได้นะครับ
เวลาจะเล่นเราต้องหลับตาหนึ่งข้าง แล้วมองรอบๆมังกร เราจะรู้สึกว่ามังกรมองตามเรา (เราไม่ต้องหลับตาเวลาดูคลิปวิดีโอเพราะว่ากล้องวิดีโอที่ใช้ถ่ายมีเลนส์เดียวอยู่แล้วเหมือนกับเราหลับตาไปแล้ว) เหตุที่เราเห็นอย่างนั้นก็เพราะว่าเราไม่มีข้อมูลเพียงพอจากสองตาที่จะช่วยให้เราจะตัดสินว่าอะไรใกล้ไกลเรามากกว่ากัน หัวมังกรที่เราสร้างจากกระดาษเป็นลักษณะที่เว้าลงไป แทนที่จะนูนเหมือนหัวปกติตามธรรมชาติ แต่สมองเราไม่ได้รับข้อมูลตื้นลึกที่จะบอกว่าหัวมังกรเว้า ก็เลยเดาว่าหัวคงนูนแบบปกติ แล้วพอเรามองรอบๆ สมองเราก็จัดการแปลความหมายไปตามที่คิดว่าน่าจะเป็น โดยที่คิดว่าหัวนูนทั้งๆที่หัวเว้า ก็เลยเป็นภาพลวงตาอย่างที่เห็น (ภาพลวงตาดังๆอีกอันที่เกี่ยวกับสมองต้องเดาความลึกด้วยข้อมูลไม่เพียงพอ คือ
ภาพหญิงสาวหมุนทวนเข็มและตามเข็มนาฬิกาขึ้นกับผู้มอง เพ่งไปเรื่อยๆเดี๋ยวเธอจะเปลี่ยนทิศทางเอง)
ผมพยายามบอกนักเรียนที่ผมสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย ว่าประสาทสัมผัสและสมองของเราถูกหลอกง่าย ดังนั้นก่อนจะเชื่ออะไรต้องมีหลักฐานดีๆก่อน แล้วถ้าใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือวัดจะหลอกตัวเองยากขึ้น ผมคิดว่ากรณีส่วนใหญ่ที่คนบอกว่าเห็นผี น่าจะเกิดจากการที่สมองหลอกตัวสมองเองด้วยข้อมูลจากประสาทสัมผัสที่ไม่ครบถ้วน (ผมคิดว่าไม่มีผี ไม่มีวิญญาณ แต่จะชอบมากถ้าปรากฏว่ามีจริงๆ เพราะจะเป็นการค้นพบปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบใหม่ๆ แต่การที่จะเชื่อว่าอะไรที่แปลกประหลาดมีอยู่จริง เราต้องมีหลักฐานแน่นๆ คุณภาพสูงๆก่อน ไม่งั้นอาจถูกหลอกด้วยกลต่างๆ หรือตัวเราเอง เวลาไปในป่าหรือที่ขลังๆทั้งหลายผมพยายามพูดในใจกับศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ว่าขอหลักฐานชัดๆให้ผมเห็นสักทีเถอะ แต่ก็ไม่เคยเจอสักที สงสัยจะส่งสัญญาณไม่ตรงคลื่น หรือไม่ก็ไม่มีใครคอยฟังคำร้องของผม)
ถ้าสนใจเรื่องภาพลวงตาผมแนะนำ เว็บเหล่านี้:
Rotating Illusion (เราเห็นว่าภาพขยับหมุนตลอดเวลา ทั้งๆที่ภาพอยู่นิ่ง มีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษว่าเกิดได้อย่างไรด้วย)
สรุปสำหรับนักเรียนก็คือ อย่าเชื่อง่าย สมองและประสาทสัมผัสหลอกตัวเองได้
ความจำสามารถถูกสร้างหรืิอเปลี่ยนแปลงได้ จะเชื่ออะไรต้องมีหลักฐานแน่นๆ เวลามีใครมาบอกอะไรเรา เราควรจะคิดเสมอว่าเขารู้ได้อย่างไร ด้วยหลักฐานอะไร
แต่ผมก็ไม่ชอบอยู่ที่มืดๆและในน้ำอยู่ดีครับ กลัวผีและฉลาม 5 5 5
บันทึกกิจกรรมวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กๆ อยากให้คุณพ่อคุณแม่คุณครูเอาไปประยุกต์เล่นกับเด็กๆเยอะๆครับ :-)