วันนี้เด็กๆม.ต้นที่กลุ่มบ้านเรียนปฐมธรรมได้ดูรายการ Cosmos: A Spacetime Odyssey ตอนที่ 12 กันครับ เรื่องเกี่ยวกับ Climate Change ที่โลกเรามีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเพิ่มมากอย่างรวดเร็วใน 100-200 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก คือก๊าซเรือนกระจกเช่นคาร์บอนไดออกไซด์และมีเธนในบรรยากาศทำการกักรังสีอินฟราเรดที่จะพาความร้อนออกไปจากโลก (ไปปล่อยในอวกาศเย็นๆ) ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกค่อยๆสูงขึ้น
แผนที่การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิของโลกจากปี 1880 ครับ:
กราฟอีกแบบครับ:
กราฟเหมือนอันข้างบน แต่แสดงเป็น 3 มิติ:
กราฟความเข้มข้นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศตั้งแต่ปี 1958 ที่เรียกว่า Keeling Curve ตามชื่อคุณ Charles David Keeling ผู้เริ่มวัดครับ:
จะเห็นว่าแต่ละปี ความเข้มข้นมีขึ้นมีลงเป็นจังหวะนะครับ เป็นจังหวะตามการผลิใบของพืชบนโลกครับ ตอนไหนใบเยอะคาร์บอนไดออกไซด์ก็ถูกดูดไปใช้เยอะทำให้เหลือในอากาศน้อยลง ตอนไหนผลัดใบคาร์บอนไดออกไซด์ก็เหลือในอากาศเยอะขึ้น
กราฟความเข้มข้นคาร์บอนไดออกไซด์ย้อนกับไปเป็นแสนปีครับ:
เด็กๆเข้าไปรีวิวเรื่อง Climate Change ในคลิปนี้นะครับ มีซับอังกฤษ:
เด็กๆเข้าไปอ่านเรื่องราวของ Augustin Mouchot (มูโชท์) ที่สร้างเครื่องแปลงความร้อนจากแสงอาทิตย์ให้ทำงานกลให้เมื่อปี 1878 ได้ทื่นี่นะครับ
เด็กๆเข้าไปอ่านเรื่องราวของ Frank Shuman ที่ใช้แสงอาทิตย์ทำชลประทานในอียิปต์ได้ที่นี่ครับ
เด็กๆอย่าลืมว่าพลังงานจากดวงอาทิตย์ที่ตกลงมาบนโลกมากกว่าพลังงานที่มนุษยชาติใช้ทั้งหมด 7,000+ เท่านะครับ ตอนนี้เรากำลังพัฒนาวิธีเก็บเกี่ยวพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้แทนการเผาน้ำมัน ถ่านหินและก๊าซ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศครับ ผมคาดว่าในไม่กี่สิบปีพลังงานจะฟรีและเครื่องจักรจะฉลาดมาก ทำให้ทุกคนไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพเพราะผลผลิตของโลกน่าจะมากกว่าตอนนี้เป็นสิบเท่า ปัจจัยสี่ไม่น่าจะเป็นปัญหาอีกต่อไป
ตัวอย่างการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในบ้านครับ https://www.theverge.com/2018/8/13/17670978/solar-energy-home-of-the-future-grant-imahara-panel-green-renewable
ประวัติย่อสั้นๆเกี่ยวกับการพัฒนาจรวดครับ: https://www.space.com/29295-rocket-history.html
ถ้าอยากรู้ประวัติศาสตร์เรื่องสงครามเย็นลองอ่านที่นี่ดูก่อนก็ได้ครับ: https://en.wikipedia.org/wiki/Cold_War
อยากจบด้วยคลิป Pale Blue Dot โดย Carl Sagan ครับ แบบมีซับไทย:
ต้นฉบับภาษาอังกฤษครับ:
The Earth is a very small stage in a vast cosmic arena. Think of the endless cruelties visited by the inhabitants of one corner of this pixel on the scarcely distinguishable inhabitants of some other corner, how frequent their misunderstandings, how eager they are to kill one another, how fervent their hatreds. Think of the rivers of blood spilled by all those generals and emperors so that, in glory and triumph, they could become the momentary masters of a fraction of a dot.
Our posturings, our imagined self-importance, the delusion that we have some privileged position in the Universe, are challenged by this point of pale light. Our planet is a lonely speck in the great enveloping cosmic dark. In our obscurity, in all this vastness, there is no hint that help will come from elsewhere to save us from ourselves.
The Earth is the only world known so far to harbor life. There is nowhere else, at least in the near future, to which our species could migrate. Visit, yes. Settle, not yet. Like it or not, for the moment the Earth is where we make our stand.
It has been said that astronomy is a humbling and character-building experience. There is perhaps no better demonstration of the folly of human conceits than this distant image of our tiny world. To me, it underscores our responsibility to deal more kindly with one another, and to preserve and cherish the pale blue dot, the only home we’ve ever known.”
―Carl Sagan,Pale Blue Dot: A Vision of the Human Future in Space