วันอังคารที่ผ่านมาผมไปทำกิจกรรมวิทย์กับเด็กๆมาครับ เด็กประถมได้ดูคลิปการเคลื่อนไหวแปลกคือกรอบที่ใส่วัตถุเข้าไปแล้วมันเคลื่อนไหวข้าๆเป็น slow motion เฮลิคอปเตอร์บินได้แต่ใบไม่หมุน และหยดน้ำตกลงช้าๆ ลอยอยู่เฉยๆ หรือลอยขึ้น คลิปทั้งสามแบบทำงานด้วยหลักการคล้ายๆกันครับ ให้เด็กๆดูและให้พยายามอธิบายว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เด็กประถมต้นเริ่มเรียนรู้เรื่องจุดศูนย์ถ่วงผ่านกิจกรรมสองสามอย่าง เด็กประถมปลายได้เชื่อมโยงกับค่ายเรือใบเรื่องความฝืดของเชือกพันหลักที่พบว่าความฝืดเติบโตแบบเรขาคณิตเมื่อจำนวนรอบที่พันเพิ่มขึ้นครับ
(อัลบั้มบรรยากาศกิจกรรมอยู่ที่นี่นะครับ กิจกรรมคราวที่แล้วเรื่อง “คลิปพลังงานศักย์เคมี ของเล่นพลังงานศักย์ยืดหยุ่น ใบเลื่อยกระดาษ” ครับ)
ก่อนอื่นผมให้เด็กๆดูวิดีโอประหลาดๆเหล่านี้ก่อนครับ อันแรกคือกรอบไม้ที่ทำให้ของเล็กที่เราใส่เข้าไปขยับไปมาแบบช้าๆ slow motion:
https://www.youtube.com/watch?v=ZaX-22f8xPo%20
อันต่อไปคือเฮลิคอปเตอร์ที่บินโดยใบพัดไม่หมุน:
และหยดน้ำที่ดูเหมือนลอยอยู่เฉยๆ หรือค่อยๆตกหรือลอยขึ้นได้:
ผมให้เด็กๆสังเกต คิด และเสนอว่าทำไมคลิปต่างๆที่ดูจึงดูแปลกๆแบบนั้นได้
เด็กคิดและเสนอไอเดียกันอยู่นานกว่า 10 นาที มีหลายคนคิดว่ามันเกี่ยวกับกล้องหรือเปล่า หรือเป็นมายากล หรือเป็นภาพหลอก ในที่สุดผมก็เฉลยครับ
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าภาพยนต์ต่างๆที่เราดูนั้นเกิดจากการเอาภาพนิ่งจำนวนมากมาให้เราดูต่อๆกันเร็วๆ โดยที่แต่ละภาพต่างจากภาพที่แล้วเล็กน้อย เมื่อภาพเหล่านี้ถูกฉายให้เราดู สมองเราก็แปลผลว่าเป็นการเคลื่อนไหว ปกติจำนวนภาพนิ่งที่มาฉายให้เราเห็นจะมีประมาณ 24-30 ภาพต่อวินาที กล้องที่เราใช้ถ่ายภาพยนต์ก็ทำงานทำนองเดียวกัน คือถ่ายรูปจำนวนมาก 24-30 ภาพต่อวินาที แล้วเรียงต่อกันไว้เป็นภาพยนต์ หรือถ้าเราฉายไฟสว่างเป็นจังหวะใส่วัตถุที่เรามองอยู่ ตาเราก็จะทำงานคล้ายๆกล้องที่ถ่ายภาพนิ่งเฉพาะเวลาที่แสงกระทบวัตถุ
คราวนี้ถ้าเราถ่ายการเคลื่อนไหวที่เป็นจังหวะ มีการเคลื่อนที่ซ้ำๆกัน เช่นการหมุนของล้อ การหมุนของใบพัด หยดน้ำที่หยดเรียงกันมาเป็นแถว หรือวัตถุที่สั่นเป็นจังหวะ และจังหวะการเคลื่อนที่ซ้ำๆกันเป็นจังหวะเดียวกับจังหวะที่กล้องจับภาพเราก็จะเริ่มเห็นอะไรแปลกๆได้ครับ
เช่นในคลิปแรกที่วัตถุในกรอบดูเคลื่อนไหวช้าๆก็เพราะว่ามีไฟกระพริบเร็ว 80 ครั้งต่อวินาที (ซึ่งเร็วเกินกว่าที่ตาเราจะเห็นว่ากระพริบ) ขณะที่วัตถุเล็กที่ใส่ไว้ในกรอบจะถูกทำให้สั่นด้วยความถี่ใกล้ๆกับ 80 ครั้งต่อวินาที ถ้าวัตถุสั่นเป็นจังหวะที่ 80 ครั้งต่อวินาทีเป๊ะๆ ตาเราก็จะเห็นวัตถุอยู่ที่เดิมเสมอ เพราะทุกครั้งที่ไฟกระพริบมา วัตถุจะเคลื่อนที่ไปอยู่ที่เดิมเหมือนเมื่อไฟกระพริบครั้งที่แล้ว แต่เนื่องจากวัตถุสั่นใกล้เคียงกับ 80 ครั้งต่อวินาที ทุกครั้งที่ไฟกระพริบ วัตถุจะอยู่ในตำแหน่งที่ต่างจากตำแหน่งเดิมเมื่อไฟกระพริบครั้งที่แล้วไปเล็กน้อย ทำให้ตาเราเห็นวัตถุค่อยๆขยับ ดูเป็น slow motion
ในคลิปที่สอง จำนวนรอบที่ใบพัดเฮลิคอปเตอร์หมุนต่อวินาทีเป็นสัดส่วนพอดีกับจำนวนภาพต่อวินาทีที่กล้องถ่ายพอดี ทุกครั้งที่กล้องถ่ายภาพนิ่งแต่ละภาพ ใบพัดได้หมุนกลับมาตำแหน่งเดิมเสมอ ทำให้ดูเหมือนใบพัดไม่ได้หมุน
ในคลิปที่สาม สาเหตุที่หยดน้ำดูเหมือนลอยอยู่เฉยๆก็คล้ายกับเหตุผลของคลิปแรก คือมีไฟกระพริบที่จังหวะตรงกับจังหวะที่หยดน้ำที่หยดลงมา ทำให้เราเห็นหยดน้ำ (ที่ไม่ใช่หยดเดียวกัน!) อยู่ที่ตำแหน่งเดิมเสมอ ถ้าปรับจังหวะไฟกระพริบให้ต่างจากจังหวะน้ำหยดเล็กน้อย เราก็จะเห็นหยดน้ำขยับขึ้นหรือลงได้ครับ
ความจริงเมื่อสองปีที่แล้วอาจารย์สิทธิโชค มุกเตียร์เอาอุปกรณ์ที่ปล่อยหยดน้ำให้ส่ายไปมาด้วยจังหวะที่สอดคล้องกับจังหวะไฟกระพริบมาให้เด็กโตหลายคนดูมาแล้วครับ แต่เด็กๆยังอายุน้อยไปหน่อยเลยจำไม่ค่อยได้:
หลังจากดูคลิปแล้ว เด็กประถมต้นเริ่มเล่นกิจกรรมเกี่ยวกับจุดศูนย์ถ่วงกันครับ ผมเอาค้อนมาผูกติดกับไม้บันทัด เอานิ้วแต่ไว้ที่ไม้บันทัดโดยเอามืออีกข้างประคองค้อนเอาไว้ ถามเด็กๆว่าถ้าเอามือที่ประคองอยู่ออก ค้อนจะตกไหม เด็กๆเดาว่าน่าจะตก แต่เมื่อผมเอามือออก ค้อนก็ไม่ตกลงมาครับ:
ผมถามเด็กๆว่าทำไมค้อนไม่ตกลงมา เด็กๆก็พยายามอธิบาย ในที่สุดก็คิดว่าน้ำหนักหัวค้อนที่อยู่ด้านหนึ่งของนิ้วที่รับน้ำหนัก หักล้างกับน้ำหนักของด้ามที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ผมจึงบอกเด็กๆว่าใช้แล้ว น้ำหนักทั้งสองข้างพยายามบิดให้ค้อนหมุนไปในทิศทางตรงกันข้าม ถ้าวางนิ้วไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม แรงบิดทั้งสองด้านก็จะหักล้างกันไป ค้อนจึงอยู่เฉยๆไม่ตกลงมา
ของที่จะถูกยกขึ้นมาผ่านตำแหน่งเดียว (เช่นใช้นิ้วเดียวยก หรือใช้เชือกผูก) โดยที่ของไม่หมุนแล้วตกลงไปนั้น ตำแหน่งที่ถูกยกจะต้องอยู่ในแนวเดียวกันกับจุดศูนย์ถ่วง (Center of Gravity) ของมันครับ
ถ้าเราหยิบของมาแล้วจินตนาการว่ามันประกอบด้วยส่วนย่อยชิ้นเล็กๆเต็มไปหมดต่อกันเป็นของทั้งชิ้นอยู่ โดยที่แต่ละชิ้นเล็กๆก็มีน้ำหนักของมัน จุดศูนย์ถ่วงก็คือตำแหน่งเฉลี่ยของส่วนย่อยต่างๆโดยคำนึงถึงน้ำหนักของส่วนย่อยด้วย เช่นถ้าเรามีไม้บรรทัดตรงๆที่มีความกว้างความหนาและความหนาแน่นเท่ากันทั้งอัน จุดศูนย์ถ่วงมันก็อยู่ที่ตรงกลางไม้บรรทัด ถ้ามีลูกบอลหนักสองลูกต่อกันด้วยไม้แข็งเบาๆโดยที่ลูกบอลหนึ่งหนักกว่าอีกลูก จุดศูนย์ถ่วงก็จะอยู่บนเส้นที่ลากผ่านลูกบอลทั้งสอง แต่ใกล้ลูกบอลหนักมากกว่า
เด็กๆได้ทดลองยกค้อนโดยให้นิ้วหิ้วผ่านแนวจุดศูนย์ถ่วงแบบนี้กันครับ:
จากนั้นผมให้เด็กๆสังเกตว่าเราจะก้มลงเก็บของที่พื้นไม่ได้ถ้าก้นและขาของเราไม่ขยับไปข้างหลังเพื่อถ่วงน้ำหนัก ทดลองได้โดยยืนให้หลังและส้นเท่าติดผนังไว้ แล้วพยายามก้มลงมาเก็บของครับ:
เราสังเกตว่าเวลาเราก้มตัวเก็บของ เราจะมีบางส่วนของร่างกายอยู่แนวหลังเท้าและบางส่วนอยู่แนวหน้าเท้าเสมอ เพราะไม่อย่างนั้นเราจะล้มเนื่องจากจุดศูนย์ถ่วงอยู่นอกบริเวณรับน้ำหนักที่เท้าครับ
สำหรับของที่เป็นแท่งยาวๆเรามีวิธีหาจุดศูนย์ถ่วงง่ายๆอย่างนี้ครับ ตำแหน่งที่มือเราพบกันจะอยู่ใต้จุดศูนย์ถ่วงครับ:
เด็กๆทดลองหาจุดศูนย์ถ่วงกันครับ:
สำหรับเด็กประถมปลาย เด็กๆหลายคนพึ่งไปค่ายเรือใบมา ได้เรียนรู้การผูกเชือกต่างๆบนเรือ วันนี้เราจึงทำการทดลองเกี่ยวกับความฝืดของเชือกกันครับ
ผมเอาน๊อตน้ำหนัก 19 กรัมมาผูกกับเชือกยาวๆเส้นหนึ่ง แล้วก็ไปพาดกับท่อ PVC ขนาด 5/8″ เอาปลายเชือกอีกข้างผูกกับตาชั่งน้ำหนักเพื่อดูว่าต้องใช้แรงเท่าไรดึงจึงจะทำให้น๊อตเริ่มขยับครับ ตอนแรกก็ง่ายมากๆใช้แรงประมาณ 20 กรัม แต่เมื่อเอาเชือกพันท่อหลายรอบขึ้น แรงที่ต้องใช้ดึงก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วครับ
ข้อมูลที่เก็บมาครับ:
รอบที่เชือกพันท่อ PVC |
แรงที่ต้องใช้ดึงให้น๊อตเริ่มขยับ (กรัม) |
1.5 |
100 |
2.5 |
300 |
3.5 |
1,000 |
4.5 |
3,000 |
5.5 |
9,000 |
6.5 |
22,000 แล้วเชือกขาดก่อน น๊อตยังไม่ขยับ |
เมื่อเอาข้อมูลมาพล็อต พบว่าตรงกับค่าทางทฤษฎีมากเลยครับ:
พบว่าแรงที่ใช้ดึงเพิ่มแบบเรขาคณิต (เอ็กซ์โปเนนเชียล) ในจำนวนรอบเชือกครับ ทุกๆ 1 รอบที่เพิ่มขึ้น แรงจะเพิ่มประมาณ 3 เท่าครับ