วันนี้ผมบันทึกเสียงสั้นๆวิทยาศาสตร์ทั่วไปในรายการ Sci & Tech ที่วิทยุไทยพีบีเอส เรื่องรถพลังไฟฟ้าเลยเอาสรุปและลิงก์ที่ผู้สนใจเข้าไปดูเพิ่มเติมมารวมไว้ที่นี่ครับ
สรุปคือ:
รถไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์และแบตเตอรี่ (BEV = Battery Electric Vehicle) มีมานานพอๆกับรถเครื่องยนต์แบบที่เราคุ้นเคย แต่ข้อจำกัดด้านแบตเตอรี่ที่หนักและจุพลังงานได้น้อยทำให้รถใช้เครื่องยนต์แพร่หลายกว่ามากๆในเกือบๆร้อยปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่รวมถึงความรู้หลายๆอย่างที่ดีขึ้นทำให้สามารถผลิตรถไฟฟ้าได้ดีในราคาใกล้เคียงรถเครื่องยนต์แล้ว ข้อดีของรถไฟฟ้าคือ ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกโดยรวม ชิ้นส่วนน้อยทำให้พังยากขึ้น สมรรถนะดีแรงบิดสูงตั้งแต่เริ่มเร่งความเร็ว เสียงเงียบ ความร้อนน้อยกว่า ค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรต่ำกว่า ข้อเสียคือ ระยะทางต่อการชาร์จยังน้อยกว่าเติมน้ำมันเต็มถัง สถานีชาร์จไฟฟ้ายังมีน้อย เวลาที่ใช้ชาร์จนานกว่าเติมน้ำมันมาก ประเทศไทยเก็บภาษีแบตเตอรี่สูง ทำให้ผู้ผลิตในประเทศสร้าง BEV แข่งขันได้ยาก รถ Hybrid ที่มีเครื่องยนต์เผาไหม้น้ำมัน + มอเตอร์ + แบตเตอรี่แต่ไม่มีปลั๊กชาร์จ จะได้พลังงานการขับเคลื่อนทั้งหมดจากน้ำมันที่เติมเข้าไป ส่วนแบตเตอรี่เป็นตัวเสริมเก็บพลังงานตอนเบรคเท่านั้น จริงๆไม่น่าจะจัดรวมอยู่ในประเภทรถไฟฟ้าเท่าไรนัก มีรถที่ไม่ใช้แบตเตอรี่เก็บพลังงานไฟฟ้า แต่ใช้เทคโนโลยีอื่นเก็บเช่นใช้ flywheel, super capacitor, และ hydrogen fuel cell เทคโนโลยีเหล่านี้ยังไม่พัฒนาเท่ากับแบตเตอรี่ ทำให้ต้นทุนยังสูงกว่า รถพวกที่ใช้ไฮโดรเจนยังต้องพึ่งการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติเพื่อแปลงมีเธนเป็นไฮโดรเจน ถ้าจะแยกน้ำเป็นไฮโดรเจนก็ต้องใช้พลังงานมาก พลังงานเหล่านั้นเอาไปป้อนแบตเตอรี่โดยตรงดีกว่า นอกจากนี้การเก็บและขนส่งไฮโดรเจนยังมีราคาสูง การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่ใช้ไฟฟ้าจะมีผลลดก๊าซเรือนกระจกมากกว่าการใช้รถส่วนตัว ควรพัฒนาระบบให้สะดวกและปลอดภัย
ลิงก์น่าสนใจ:
ตัวอย่างการทำงานของรถไฟฟ้า:
VIDEO
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่รถไฟฟ้าส่วนใหญ่ใช้:
VIDEO
เปรียบเทียบผลกระทบก๊าซเรือนกระจกระหว่างรถไฟฟ้าและรถเครื่องยนต์:
VIDEO
ข้อจำกัดของไฮโดรเจนในปัจจุบัน:
VIDEO
ตัวอย่างรถไฟฟ้าขนาดเล็กๆราคาถูก:
https://www.youtube.com/watch?v=2B20sgxLmys
VIDEO
VIDEO
ตัวอย่างผู้ผลิตรถไฟฟ้าต่างๆในโลก: 6 of 10 Big Electric Car Companies Are in China
วันนี้ผมบันทึกเสียงสั้นๆวิทยาศาสตร์ทั่วไปในรายการ Sci & Tech ที่วิทยุไทยพีบีเอส เรื่องเทคโนโลยีสู้ภัยพิบัติเลยเอาสรุปและลิงก์ที่ผู้สนใจเข้าไปดูเพิ่มเติมมารวมไว้ที่นี่ครับ
สรุปคือ:
มีการใช้ภาพและข้อมูลจากดาวเทียมเพื่อคาดการณ์ (เช่นทิศทางพายุ, ความชุ่มน้ำของดิน, การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิศาสตร์) ว่าอาจเกิดภัยพิบัติที่ใดในเวลาประมาณใด ข้อมูลต่างๆถูกประมวลด้วยซอฟท์แวร์หลายๆแบบ รวมถึงมีการพัฒนาระบบ AI ต่างๆมาช่วย ภาพและข้อมูลจากดาวเทียมใช้สำรวจพื้นที่ประสบภัยพิบัติเพื่อการช่วยเหลือต่างๆ ระบบสื่อสารที่ไม่ต้องใช้เครือข่ายรวมศูนย์เริ่มมีการใช้มากขึ้น เช่นโทรศัพท์มือถืออาจติดต่อกันโดยตรงและช่วยกันส่งข้อมูลไปมาแบบ Mesh Networking (การติดต่อแบบนี้มีประโยชน์ในกรณีระบบโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ตใช้งานไม่ได้) โปรแกรมต่างๆบนโทรศัพท์มือถือสามารถช่วยระบุตัวตน ตำแหน่ง และข้อมูลอื่นๆเช่นภาพถ่าย วิดีโอ และส่งข้อมูลเหล่านี้เข้าสู่ศูนย์ช่วยเหลือ มีการใช้โดรนและหุ่นยนต์ต่างๆเข้าสำรวจสถานที่ประสบภัย เพื่อสร้างแผนที่หน้างานและค้นหาผู้ประสบภัยที่ตกค้างตามที่ต่างๆ มีกล้องและเซนเซอร์ รวมถึงระบบสื่อสารกับผู้ประสบภัย มีระบบจ่ายไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ ตั้งแต่ขนาดเล็กๆจนไปถึงระดับโรงไฟฟ้า มีการพัฒนาซอฟท์แวร์ที่รวบรวมข้อมูลจากหลากหลายแหล่งแล้วสรุปเป็นภาพและแผนที่เพื่อช่วยในการตัดสินใจต่างๆในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย มีการวิจัยพวก Big Data และ AI ในเรื่องนี้ด้วย
ลิงก์น่าสนใจ:
ดาวเทียมญี่ปุ่นเพื่อถ่ายภาพภัยพิบัติ:
VIDEO
ประเมินความเสี่ยงแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น
ตัวอย่างการพัฒนา AI ช่วยดูภาพจากดาวเทียมเพื่อทำนายภัยพิบัติ:
VIDEO
ตัวอย่างการพัฒนา AI ช่วยเหลือบริเวณประสบภัย:
VIDEO
ใช้โซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่จ่ายไฟฟ้า:
VIDEO
ตัวอย่างโปรแกรมให้ประชาชนช่วยรายงานเรื่องต่างๆ
ตัวอย่างการพัฒนาหุ่นยนต์ช่วยหาผู้ประสบภัย:
VIDEO
VIDEO
VIDEO
วันนี้ผมบันทึกเสียงสั้นๆวิทยาศาสตร์ทั่วไปในรายการ Sci & Tech ที่วิทยุไทยพีบีเอส เรื่องโดรนเลยเอาสรุปและลิงก์ที่ผู้สนใจเข้าไปดูเพิ่มเติมมารวมไว้ที่นี่ครับ
สรุปคือ:
โดรน (drone) เป็นชื่อไม่เป็นทางการของ UAV (Unmanned Aerial Vehicle หรืออากาศยานไร้คนขับ) โดรนมีมาเกือบๆร้อยปีแล้ว มีความพยายามบังคับยานบินเช่นบอลลูนหรือเครื่องบินโดยไม่ใช้คนขับ แต่ผ่านวิทยุบังคับภาคพื้นดินตั้งแต่สมัยเริ่มมีอากาศยานและวิทยุ ประมาณปี 1935 เครื่องบินปีกสองชั้นชื่อ “Queen Bee” ถูกดัดแปลงให้บังคับจากภาคพื้นดินโดยไม่ต้องมีนักบินในเครื่อง เครื่องที่ดัดแปลงถูกเรียกว่าโดรน เป็นการเล่นคำเพราะคำว่าโดรนในภาษาอังกฤษแปลว่าผึ้งตัวผู้ ส่วนคำว่า Queen Bee แปลว่านางพญาผึ้ง โดรนรุ่นนี้ถูกใช้เป็นเป้าฝึกยิงต่อสู้อากาศยาน ผ่านมาอีกหลายสิบปีโดรนส่วนใหญ่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาถูกนำไปใช้ทางการทหาร เช่นเป็นเป้าบิน ติดกล้องสอดแนม ล่อเรดาร์และขีปนาวุธข้าศึก ติดอาวุธทำลาย ขนส่งเสบียงและยา โดรนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีปีก หน้าตาคล้ายๆเครื่องบิน แต่มีบางรุ่นหน้าตาคล้ายเฮลิคอปเตอร์ สิบปีที่ผ่านมาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงและราคาถูกลงมาก ทำให้มีการผลิตโดรนสำหรับผู้บริโภคทั่วไป มีการประยุกต์การใช้งานหลากหลาย เช่น ถ่ายภาพทางอากาศ ใช้ในการผจญเพลิง ค้นหาและกู้ภัย เฝ้าระวังป่าและสัตว์ป่า การเกษตร บินแข่ง ใช้ตกแต่งแทนพลุ และอื่นๆ โดรนสำหรับผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเป็นพวกปีกหมุน มีหลายใบพัด เช่นตระกูล quadcopter ที่มีสี่ใบพัด ส่วนโดรนหน้าตาเหมือนเครื่องบินมักจะใช้ในงานที่ต้องการความเร็วสูงและระยะทางไกลหรือบินอยู่ได้นานๆ แต่ไม่เหมาะกับงานที่ต้องลอยอยู่ในที่จำกัด ในประเทศไทยมีหลายหน่วยวิจัยและประยุกต์โดรนเพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆเช่นการใช้งานทางการทหาร การสำรวจพื้นที่ไร่นา การโปรยปุ๋ยและยาฆ่าแมลง การตีความข้อมูลจากโดรนไปใช้ประโยชน์เพิ่มเติม เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ แบตเตอรี่ คอมพิวเตอร์ และ AI น่าจะทำให้โดรนทั้งหลายเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น และน่าจะทำงานอื่นๆได้มากมายขึ้นกับจินตนาการของนักประดิษฐ์
ลิงก์น่าสนใจ:
ประวัติย่อของโดรน:
VIDEO
ตัวอย่างโดรนสำหรับถ่ายภาพและวิดีโอ:
VIDEO
ใช้โดรนส่งเลือดให้โรงพยาบาลต่างๆในประเทศรวันดา:
VIDEO
VIDEO
โดรนแทนพลุ:
VIDEO
VIDEO
ปัญหาต่างๆในการพัฒนาโดรนส่งของทั่วไป:
VIDEO
Posts navigation
บันทึกกิจกรรมวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กๆ อยากให้คุณพ่อคุณแม่คุณครูเอาไปประยุกต์เล่นกับเด็กๆเยอะๆครับ :-)