ผมไปทำกิจกรรมวิทย์กับเด็กๆศูนย์การเรียนปฐมธรรมมาครับ เด็กๆหัดคิดแบบวิทยาศาสตร์โดยพยายามอธิบายกลดึงกระดาษผ่านกระจกรถ เราคุยกันเรื่องการทำงานของหู แล้วเราก็เล่นของเล่นลูกข่างที่เป่าให้หมุนได้ และตุ๊กตาติดกับร่มชูชีพ
(อัลบั้มบรรยากาศกิจกรรมอยู่ที่นี่ ส่วนลิงก์รวมทุกกิจกรรมอยู่ที่นี่นะครับ)
ก่อนอื่นเด็กๆได้ดูมายากลในคลิปนี้ครับ เด็กๆดูกลก่อนแล้วพยายามอธิบายก่อนเฉลย คราวนี้เป็นกลดึงกระดาษผ่านกระจกรถ:
กิจกรรมหัดอธิบายมายากลนี้ฝีกเด็กๆให้คิดแบบวิทยาศาสตร์ มีการสังเกต การตั้งสมมุติฐานเพื่ออธิบายสิ่งที่สังเกตมา การตรวจสอบสมมุติฐานกับข้อมูลที่สังเกตมา การตั้งสมมุติฐานใหม่เมื่อสมมุติฐานเดิมขัดกับข้อมูล นอกจากนี้เราพยายามให้เด็กๆมีความกล้าคิดและออกความเห็น และหวังว่าเมื่อโตไปจะไม่ถูกหลอกง่ายๆครับ
ผมเอาภาพปริศนามาให้เด็กทายกันว่าคืออะไรครับ:
เด็กเด็กดูแล้วก็งงกันอยู่พักหนึ่ง เสนอไอเดียหลายอย่าง แล้วก็มีคนบอกว่าแก้วหู ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกต้อง อันนี้เป็นแก้วหูที่ผมใช้กล้องส่องตัวเอง พบว่ามัน บางและใสเห็นกระดูกด้านหลังแก้วหูด้วย
มีเรื่องน่ารู้สำหรับเด็กๆครับ:
- แก้วหูบางกว่าแผ่นพลาสติกแรป! หนาแค่ ~0.1 มม. แต่แข็งแรงพอรับแรงสั่นเป็นหมื่นครั้งต่อวินาที
- เสียงเดินทางเป็นคลื่นอากาศ → คลื่นกล: คลื่นเสียงกระทบแก้วหู → แก้วหูสั่น → กระดูกหู 3 ชิ้นขยายแรงสั่น → ของเหลวในหูชั้นใน → กระตุ้นเซลล์ขนแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าไปสมอง
- กระดูกที่เล็กที่สุดในร่างกาย ได้แก่ malleus, incus, stapes (ค้อน – ทั่ง – โกลน) อยู่หลังแก้วหู ขนาด ~3–4 มม.
- ขี้หู (earwax) มีประโยชน์: ดักฝุ่น เชื้อรา และมี pH กรดอ่อน ๆ ยับยั้งแบคทีเรีย ไม่ควรใช้ไม้แคะลึก ๆ เพราะอาจดันขี้หูเข้าไปและทำให้แก้วหูทะลุได้
- เคี้ยวอาหารช่วยระบายความดัน: การกลืนน้ำลายหรือเคี้ยวหมากฝรั่งเปิดท่อยูสเตเชียน ช่วยปรับความดันสองฝั่งของแก้วหู (เหตุผลที่เราหูอื้อเวลาขึ้นเครื่องบิน)
- เสียงดัง > 85 dB นาน ๆ ทำร้ายเซลล์ขนถาวร สอนเด็กให้ใช้หูฟังระดับเสียงไม่เกิน 60 % ของระดับสูงสุด และพักทุก 60 นาที (กฎ 60/60)
ส่วนนี้เป็นข้อควรระวังสำหรับเด็ก:
- ห้ามใช้ของแหลม/คอตตอนบัด แหย่ลึก → เสี่ยงแก้วหูทะลุ, ติดเชื้อ
- ถ้ามี ปวดหู มีน้ำหนองไหล หรือได้ยินลดลง → ไปพบแพทย์หูคอจมูก (ENT)
- การเป็นหวัดบ่อย ๆ หรือภูมิแพ้ อาจทำให้ท่อยูสเตเชียนบวม → สะสมของเหลวหลังแก้วหู → ควรตรวจถ้าได้ยินไม่ชัด
จากนั้นผมเอาภาพตัดขวาง (cross section) ของหูมาให้เด็กดู:

เราก็จะเห็นใบหู (pinna) รูหู (auditory canal หรือ ear canal) เยื่อแก้วหู (tympanic membrane) กระดูกสามชิ้น (ค้อน ทั่ง โกลน — hammer, anvil, stirrup) ท่อยูสเทเชียนที่ต่อหูส่วนกลางกับปาก (eustachian tube) โคเคลีย (cochea ที่เป็นรูปก้นหอย) และอุปกรณ์หลอดครึ่งวงกลมสำหรับการทรงตัว (semicircular canals) ส่วนประกอบเหล่านี้แบ่งเป็นหูชั้นนอก (ใบหูถึงเยื่อแก้วหู) ชั้นกลาง (ในเยื่อแก้วหู กระดูกสามชิ้น และท่อยูสเทเชียน) และชั้นใน (โคเคลียและอุปกรณ์ทรงตัว)
ถึงตอนนี้ผมก็แทรกข้อมูลที่ว่าเวลาเราขึ้นที่สูงเช่นขึ้นลิฟท์ ขึ้นเขา หรือขึ้นเครื่องบิน ความดันอากาศภายนอกจะน้อยลง อากาศที่อยู่ในหูชั้นกลางมีความดันมากกว่า ทำให้เราหูอื้อ พอเราอ้าปาก หาว หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง อากาศในหูก็จะสามารถออกมาทางปากผ่านทางท่อยูสเทเชียนได้ ทำให้เราหายหูอื้อ
ขบวนการฟังเสียงก็คือ ความสั่นสะเทือนวิ่งผ่านอากาศหรือตัวกลางอื่นๆเช่นพื้น วิ่งเข้ามาในรูหู ทำให้เยื่อแก้วหูสั่นตาม เยื่อแก้วหูติดกับกระดูกค้อนเลยทำให้กระดูกค้อนสั่น กระดูกค้อนอยู่ติดกับกระดูกทั่งเลยทำให้กระดูกทั่งสั่น กระดูกทั่งติดกับกระดูกโกลนเลยทำให้กระดูกโกลนสั่น กระดูกโกลนติดอยู่กับผนังของโคเคลียเลยทำให้ผนังของโคเคลียสั่น ในโคเคลียมีของเหลวอยู่เลยมีคลื่นในของเหลว คลื่นนี้ทำให้ขนของเซลล์การได้ยินขยับไปมา ทำให้เซลล์การได้ยินส่งสัญญาณไฟฟ้าไปที่สมอง แล้วสมองก็ตีความว่าได้ยินอะไร
พอคุยกันเรื่องหูเสร็จ ผมก็เอาของเล่นลูกข่างเป่าลมและตู๊กตาร่มชูชีพมาให้เด็กๆเล่นกันครับ: