Category Archives: science

ฝึกเด็กกันผีหลอก

ผมไปสอนเด็กป.1 และ อนุบาล 2/2 ที่โรงเรียนบ้านพลอยภูมิ เรื่องภาพลวงตามาครับ

ดูวิดีโอคลิปก่อนครับ:

 

เราสามารถพิมพ์บนกระดาษที่ค่อนข้างแข็ง แล้วตัดตามแบบมาติดกาวเป็นรูปมังกรเล่นเองที่บ้านได้ มีแบบเป็นไฟล์ให้โหลดได้นะครับ
เวลาจะเล่นเราต้องหลับตาหนึ่งข้าง แล้วมองรอบๆมังกร เราจะรู้สึกว่ามังกรมองตามเรา (เราไม่ต้องหลับตาเวลาดูคลิปวิดีโอเพราะว่ากล้องวิดีโอที่ใช้ถ่ายมีเลนส์เดียวอยู่แล้วเหมือนกับเราหลับตาไปแล้ว) เหตุที่เราเห็นอย่างนั้นก็เพราะว่าเราไม่มีข้อมูลเพียงพอจากสองตาที่จะช่วยให้เราจะตัดสินว่าอะไรใกล้ไกลเรามากกว่ากัน หัวมังกรที่เราสร้างจากกระดาษเป็นลักษณะที่เว้าลงไป แทนที่จะนูนเหมือนหัวปกติตามธรรมชาติ แต่สมองเราไม่ได้รับข้อมูลตื้นลึกที่จะบอกว่าหัวมังกรเว้า ก็เลยเดาว่าหัวคงนูนแบบปกติ แล้วพอเรามองรอบๆ สมองเราก็จัดการแปลความหมายไปตามที่คิดว่าน่าจะเป็น โดยที่คิดว่าหัวนูนทั้งๆที่หัวเว้า ก็เลยเป็นภาพลวงตาอย่างที่เห็น (ภาพลวงตาดังๆอีกอันที่เกี่ยวกับสมองต้องเดาความลึกด้วยข้อมูลไม่เพียงพอ คือภาพหญิงสาวหมุนทวนเข็มและตามเข็มนาฬิกาขึ้นกับผู้มอง เพ่งไปเรื่อยๆเดี๋ยวเธอจะเปลี่ยนทิศทางเอง)
ผมพยายามบอกนักเรียนที่ผมสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย ว่าประสาทสัมผัสและสมองของเราถูกหลอกง่าย ดังนั้นก่อนจะเชื่ออะไรต้องมีหลักฐานดีๆก่อน แล้วถ้าใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือวัดจะหลอกตัวเองยากขึ้น ผมคิดว่ากรณีส่วนใหญ่ที่คนบอกว่าเห็นผี น่าจะเกิดจากการที่สมองหลอกตัวสมองเองด้วยข้อมูลจากประสาทสัมผัสที่ไม่ครบถ้วน (ผมคิดว่าไม่มีผี ไม่มีวิญญาณ แต่จะชอบมากถ้าปรากฏว่ามีจริงๆ เพราะจะเป็นการค้นพบปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบใหม่ๆ แต่การที่จะเชื่อว่าอะไรที่แปลกประหลาดมีอยู่จริง เราต้องมีหลักฐานแน่นๆ คุณภาพสูงๆก่อน ไม่งั้นอาจถูกหลอกด้วยกลต่างๆ หรือตัวเราเอง เวลาไปในป่าหรือที่ขลังๆทั้งหลายผมพยายามพูดในใจกับศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ว่าขอหลักฐานชัดๆให้ผมเห็นสักทีเถอะ แต่ก็ไม่เคยเจอสักที สงสัยจะส่งสัญญาณไม่ตรงคลื่น หรือไม่ก็ไม่มีใครคอยฟังคำร้องของผม)
ถ้าสนใจเรื่องภาพลวงตาผมแนะนำ เว็บเหล่านี้:
Rotating Illusion (เราเห็นว่าภาพขยับหมุนตลอดเวลา ทั้งๆที่ภาพอยู่นิ่ง มีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษว่าเกิดได้อย่างไรด้วย)
สรุปสำหรับนักเรียนก็คือ อย่าเชื่อง่าย สมองและประสาทสัมผัสหลอกตัวเองได้ ความจำสามารถถูกสร้างหรืิอเปลี่ยนแปลงได้ จะเชื่ออะไรต้องมีหลักฐานแน่นๆ เวลามีใครมาบอกอะไรเรา เราควรจะคิดเสมอว่าเขารู้ได้อย่างไร ด้วยหลักฐานอะไร
แต่ผมก็ไม่ชอบอยู่ที่มืดๆและในน้ำอยู่ดีครับ กลัวผีและฉลาม 5 5 5

วันเกิด ชาร์ลส์ ดาร์วิน


ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) เกิดวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809  วันนี้ครบรอบสองร้อยปีครับ

เขาเป็นวีรบุรุษทางวิทยาศาสตร์คนหนึ่งของผม สิ่งที่เขาค้นพบและสิ่งที่คนอื่นมาต่อยอด อธิบายเรื่องชีวิตอย่างมากมายเหลือเกิน
 
เขาค้นพบกฏเกณฑ์ทางธรรมชาติที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตในแต่ละรุ่นเมื่อเวลาผ่านไป แสดงถึงความเกี่ยวพันของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลบนโลก อธิบายว่าสภาพแวดล้อมที่ต่างกันและอุปนิสัยการเลือกคู่ทำให้สิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างไร
 
สิ่งที่เขาพบเรียกว่า การวิวัฒนาการ (Evolution) เขาไม่ตีพิมพ์ผลงานเป็นเวลานับสิบปี เนื่องจากหลักฐานที่เขาพบหักล้างความเชื่อทางศาสนาในสังคมของเขาหลายอย่าง และศาสนจักรมีอิทธิพลในชีวิตประจำวันมาก แม้เวลาผ่านไปกว่าร้อยปีแล้ว หลายๆคนก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจการวิวัฒนาการ เนื่องจากมีความเชื่อทางศาสนาที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงของจักรวาลมาเกี่ยวข้อง
 
Evolution เป็นขบวนการเดียวที่มนุษย์รู้จัก (ที่ทำงานได้จริงๆ) ที่สามารถสร้างของที่ซับซ้อนขึ้นมาจากของที่เรียบง่าย โดยไม่ต้องมีใครมาวางแผน เราแค่ต้องการส่วนประกอบดังนี้:
 
1. สิ่งที่สามารถทำสำเนาตัวเองได้ โดยที่สำเนามักไม่เหมือนต้นฉบับ 100%  (เช่น สารเคมีบางอย่าง ผลึกในดินเหนียว ความคิดต่างๆในหัวคน สิ่งมีชีวิตต่างๆ)  การทำสำเนาในสิ่งมีชีวิต เรียกว่าการสืบพันธุ์
 
2. สำเนาแต่ละอันมีโอกาสทำสำเนาของตัวเองไม่เท่ากัน (เช่น กวางที่วิ่งช้ากว่าตัวอื่นถูกกินก่อนจะได้สืบพันธุ์ นกที่ร้องเพลงไม่เก่งไม่มีใครมาเลือกเป็นคู่ เห็ดที่ทนความชื้นรอบๆไม่ได้เลยปล่อยสปอร์ไม่ได้)
 
3. รอเวลาให้นานพอ ให้มีการทำสำเนาหลายๆรุ่น เราจะพบว่าสิ่งที่เหลืออยู่คือลูกหลานของสิ่งที่สามารถทำสำเนาได้มากกว่า และมีหลากหลายชนิด โดยที่แต่ละชนิดประสบความสำเร็จในการทำสำเนาในสภาพแวดล้อมที่ตนอยู่
 
แค่นั้นเอง โลกก็สามารถมีสิ่งมีชีวิตหลากหลาย (ซึ่งเป็นญาติกันหมด ดูจากกระบวนการเคมีจะคล้ายๆกัน) โดยเริ่มจากของเรียบง่ายเมื่อประมาณ 3.5 ถึง 4 พันล้านปีที่แล้ว
 
ในความเห็นของผม ถ้าเราจะพยายามเข้าใจธรรมชาติ เราต้องเข้าใจเรื่อง Evolution ครับ เป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็น (ที่รวมถึง คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ต่างๆ และประวัติศาสตร์)
 
ถ้าสนใจเพิ่มเติมลองดูลิงค์เหล่านี้ครับ:
 

200 ปี “ชาร์ลส์ ดาร์วิน” ทั่วโลกร่วมยกย่องผู้สร้างทฤษฎีวิวัฒนาการ

เฉลิมฉลองสองศตวรรษแห่งชาติกาลของ Charles Darwin

ตีลูกให้ถึงดวงจันทร์ ถึงพลาดก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว

 

ด้วยความเคารพและชื่นชมนักกอล์ฟอาชีพชาวไทยทุกท่าน หลังจากดูโฆษณาข้างบนแล้ว Science Geek ที่สิงร่างก็บังคับให้ผมเสริมประโยคที่ว่า “ตีลูกให้ถึงดวงจันทร์ ถึงพลาดก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว” ดังนี้ครับ:

1. ดวงจันทร์ห่างจากโลกประมาณ 400,000 กิโลเมตร
2. ดาวที่ใกล้โลกที่สุดคือดวงอาทิตย์ที่อยู่ห่างไป 150 ล้านกิโลเมตร (150,000,000 km) ดาวดวงต่อไป (Proxima Centauri) ห่างไปประมาณ 4 ปีแสงหรือประมาณ 40 ล้านล้านกิโลเมตร (40,000,000,000,000 km)
3. ระยะทางไปดวงอาทิตย์ = 375 เท่าระยะทางไปดวงจันทร์ หรือถ้าเทียบระยะไปดวงจันทร์เท่ากับหนึ่งไม้บรรทัด (1 ฟุต) ระยะทางไปดวงอาทิตย์จะเทียบเป็นประมาณ 100 เมตร
4. ระยะทางไปดาวดวงต่อไป = ร้อยล้านเท่าระยะทางไปดวงจันทร์ ถ้าเทียบระยะไปดวงจันทร์เท่ากับ 1 ฟุต ระยะทางไปดาวดวงต่อไปจะเทียบเป็นประมาณ 30,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 3/4 ระยะทางรอบโลก
5. ถ้าจะตีให้ลูกกอล์ฟหลุดลอยไปจากโลก ต้องตีให้ได้ความเร็วเกิน 11.2 กิโลเมตรต่อวินาที หรือเร็วกว่าลูกปืน (M-16) ประมาณ 11 เท่า และลูกกอล์ฟต้องทนความร้อนมหาศาลด้วย
6. ถึงเราจะตีลูกกอล์ฟได้เร็วกว่า 11.2 กิโลเมตรต่อวินาที แต่ถ้าเร็วไม่เกิน 42.1 กิโลเมตรต่อวินาที (เร็วกว่าลูกปืน M-16 40 เท่า) ลูกกอล์ฟก็ไม่สามารถหนีดวงอาทิตย์ไปหาดาวอื่นๆอยู่ดี ต้องมาโคจรเหมือนดาวหางดวงหนึ่ง
ดังนั้นไม่ว่าจะตีหรือไม่ตีลูก หรือตีแล้วถึงหรือไม่ถึงดวงจันทร์ก็ตาม ลูกกอล์ฟก็อยู่ท่ามกลางดวงดาว (ที่อยู่ไกลมากกกกก) อยู่แล้ว ระยะทางระดับไปถึงดวงจันทร์ เป็นระยะน้อยมากๆเมื่อเทียบกับระยะระหว่างดวงดาว และไม่ว่าจะเล็งดวงจันทร์อย่างไร ลูกกอล์ฟก็แปะอยู่บนโลกอยู่ดี (ถ้าเราไม่ใช่ Superman หรือ Dr. Manhattan)
ผมเล็งโลกเสมอ โดน 100%
และนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ผมไม่สามารถเป็นนักกอล์ฟทีมชาติได้
ปล. แผนผังดาวใกล้ๆครับ: